ออกกำลังกายง่ายๆ ช่วยให้ Fit & Firm

บทความโดย คุณอิศรา แก่นพรหม นักสุขศึกษา โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

หนุ่มสาวออฟฟิศอยากออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลากันใช่ไหมคะ ในเทศกาลที่อบอวลไปด้วยความรักปีนี้ เราชวนเขาหรือเธอมาร่วมกันช่วยสร้างความหวานใส แบบสุขภาพดีร่วมกันดีกว่า

กิจวัตรประจำวัน ก็เป็นการออกกำลังกาย
ทราบไหมคะ ว่าการทำกิจวัตรประจำวันก็เป็นการออกกำลังกายที่ดี เพียงแต่เราควรทำอย่างต่อเนื่องกัน ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป เพื่อให้เป็นการออกกำลังกายเแบบแอโรบิคส์ (Aerobic Exercise) และออกกำลังกายกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardio Exercise) ซึ่งช่วยให้ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบดูดซึมอาหารดีขึ้น และยังช่วยให้กล้ามเนื้อ ข้อต่อและกระดูกดีขึ้นอย่างชัดเจน

กิจวัตรประจำวันอย่างไหน เผาผลาญแคลอรีไปเท่าไหร่ เรามีข้อมูลมาเล่าให้ฟังตามรายการข้างล่างค่ะ








ปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละกิจวัตรประจำวัน


การเดินทาง
1. เดินขึ้นบันได (15 นาที)
ชาย
65 กก. = 150 แคลอรี / 75 กก. = 150 แคลอรี /
85 กก. = 150 แคลอรี
หญิง
45 กก. = 150 แคลอรี / 55 กก. = 150 แคลอรี / 65 กก. = 150 แคลอรี / 75 กก. = 150 แคลอรี

2. เดินบนถนน (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 37 แคลอรี / 75 กก. = 43 แคลอรี / 85 กก. = 48 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 25 แคลอรี / 55 กก. = 31 แคลอรี / 65 กก. = 37 แคลอรี / 75 กก. = 43 แคลอรี

เล่นดนตรี (1 ชั่วโมง)
1. ตีกลอง
ชาย 65 กก. = 202 แคลอรี / 75 กก. = 219 แคลอรี / 85 กก. = 236 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 154 แคลอรี /55 กก. = 165 แคลอรี / 65 กก. = 177 แคลอรี /75 กก. = 189 แคลอรี

2. ยืนเล่นกีตาร์ (พลังงาน/น้ำหนัก)
ชาย 65 กก. = 177 แคลอรี (60 กก.) / 75 กก. = 211 แคลอรี (70 กก.) / 85 กก. = 259 แคลอรี

งานบ้าน
1. ถูบ้าน (20 นาที)
ชาย 65 กก. = 75 แคลอรี / 75 กก. = 87 แคลอรี / 75 กก. = 99 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 56 แคลอรี / 55 กก. = 68 แคลอรี / 65 กก. = 81 แคลอรี / 75 กก. = 93 แคลอรี

2. กวาดพื้น (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 15 แคลอรี / 75 กก. = 18 แคลอรี / 85 กก. = 20 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 11 แคลอรี / 55 กก. = 13 แคลอรี / 65 กก. = 15 แคลอรี / 75 กก. = 18 แคลอรี

3. ล้างห้องน้ำ (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 13 แคลอรี / 75 กก. = 15 แคลอรี / 85 กก. = 17 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 9 แคลอรี / 55 กก. = 11 แคลอรี / 65 กก. = 13 แคลอรี / 75 กก. = 15 แคลอรี

4. รีดผ้า (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 250 แคลอรี / 75 กก. = 288 แคลอรี / 85 กก. = 326 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 89 แคลอรี / 55 กก. = 109 แคลอรี / 65 กก. = 129 แคลอรี / 75 กก. = 149 แคลอรี

5. ทำกับข้าว (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 187 แคลอรี / 75 กก. = 216 แคลอรี / 85 กก. = 249 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 122 แคลอรี / 55 กก. = 149 แคลอรี / 65 กก. = 176 แคลอรี / 75 กก. = 202 แคลอรี

6. ขุดดิน (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 82 แคลอรี / 75 กก. = 95 แคลอรี / 85 กก. = 107 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 57 แคลอรี / 55 กก. = 69 แคลอรี / 65 กก. = 82 แคลอรี / 75 กก. = 95 แคลอรี

กิจกรรมในครอบครัว
1. เดินซื้อของในจตุจักร (2 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 482 แคลอรี / 75 กก. = 522 แคลอรี / 85 กก. = 592 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 335 แคลอรี / 55 กก. = 409 แคลอรี / 65 กก. = 483 แคลอรี / 75 กก. = 586 แคลอรี

2. เดินซื้อกับข้าวในตลาดสด (30 นาที)
ชาย 65 กก. = 160 แคลอรี / 75 กก. = 185 แคลอรี / 85 กก. = 209 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 111 แคลอรี / 55 กก. = 135 แคลอรี / 65 กก. = 160 แคลอรี / 75 กก. = 185 แคลอรี

การเล่นกีฬา
1. เต้นแอโรบิคส์-ปานกลาง (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 402 แคลอรี / 75 กก. = 463 แคลอรี / 85 กก. = 525 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 278 แคลอรี / 55 กก. = 340 แคลอรี / 65 กก. = 402 แคลอรี / 75 กก. = 463 แคลอรี

2. เต้นแอโรบิคส์-หนัก (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 527 แคลอรี / 75 กก. = 606 แคลอรี / 85 กก. = 689 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 364 แคลอรี / 55 กก. = 446 แคลอรี / 65 กก. = 527 แคลอรี / 75 กก. = 607 แคลอรี

3. ว่ายน้ำ-ท่ากบ (40 นาที)
ชาย 65 กก. = 421 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี / 85 กก. = 550 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 291 แคลอรี / 55 กก. = 356 แคลอรี / 65 กก. = 422 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี

4. ว่ายน้ำ-ท่ากรรเชียง (40 นาที)
ชาย 65 กก. = 438 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี / 85 กก. = 550 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 291 แคลอรี / 55 กก. = 356 แคลอรี / 65 กก. = 422 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี

5. แบดมินตัน (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 378 แคลอรี / 75 กก. = 436 แคลอรี / 85 กก. = 494 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 262 แคลอรี / 55 กก. = 320 แคลอรี / 65 กก. = 378 แคลอรี / 75 กก. = 436 แคลอรี

6. ฟุตบอล (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 514 แคลอรี / 75 กก. = 594 แคลอรี / 85 กก. = 673 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 356 แคลอรี / 55 กก. = 436 แคลอรี / 65 กก. = 514 แคลอรี / 75 กก. = 594 แคลอรี

อย่าลืมว่า กิจวัตรประจำวัน ถ้าทำอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ก็เป็นการออกกำลังกายได้

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล กองออกกำลังกาย กระทรวงสาธารณสุข




สุขจน "ลืมกลืน"

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

เมื่อพูดถึงเรื่องความหวานที่อยู่รอบๆ ตัว นอกจากลูกอม ขนมเค้ก คุกกี้แล้ว ขนมไทยๆ อีกมากมายก็เป็นที่มาของความหอมหวาน

ขนมไทยนั้น นอกจากจะมีกรรมวิธีการผลิตที่วิจิตรบรรจงแล้ว การตั้งชื่อก็มักจะมีที่มาที่ไป และอธิบายสรรพคุณของขนมนั้นๆ จนแทบจะนึกรสชาติออกทันทีที่ได้ยินชื่อ

ขนมไทย "ลืมกลืน" ทำมาจากแป้งถั่วเขียวเป็นหลัก แต่งกลิ่นด้วยน้ำจากดอกมะลิ เติมความหวานด้วยน้ำตาล จัดมาพอดีคำรูปสี่เหลี่ยมวางบนใบตอง และโรยหน้าด้วยกลีบดอกไม้สีสวยสด ด้วยเป็นอาหารที่ทำให้คนที่รับประทานมีความสุข ความเพลิดเพลินกับรูป รส กลิ่น สัมผัสละมุนบนลิ้นเสียจนไม่อยากจะกลืน ทำให้คนโบราณยกย่องในคุณสมบัตินี้จนขนานนามให้

ขนมลืมกลืนเปรียบไปก็คล้ายกับชีวิตของคนเราในช่วงที่ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นช่างหอมหวาน มองอะไรเป็นสีชมพู จนหลายคนหลงเพลิดเพลินกับความหวานแบบนี้จนลืมคิดไปว่า ความรักมันย่อมมีวันจืดจาง

บางครั้งมากกว่าจืดจางด้วยซ้ำ คือ หายไปไม่มีเหลือเลย ก็มีอยู่บ่อยๆ ซึ่งหากเรายึดติดย่อมนำไปสู่ความทุกข์จากการสูญเสีย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องของความไม่เที่ยง บางคนลืมไปว่าต้องมีการพลัดพรากจากกันไป ไม่จากเป็นก็จากตาย








หลายคนตามหารักแท้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านไปครึ่งชีวิตก็ไม่พบ ลืมไปว่าต้องให้ความรักกับตนเอง (ในทางที่ถูก) และกับครอบครัว คนรอบข้าง หลายคนต้องการความรักจากคนอื่น แม้ว่าจะเป็นได้แค่กิ๊กเท่านั้น หลงลืมไปว่าการกระทำนั้นๆ อาจทำให้ตนเองเสียใจเมื่อกลับมาหวนคิดถึงตอนหลัง หรืออาจสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวอื่น ผิดศีลธรรมหรือสร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีแก่ตนเอง

เดือนแห่งความรักผ่านมาอีกครั้ง อย่าลืมทำให้มันผ่านไปแบบที่เราได้เรียนรู้มากขึ้น

ภูมิคุ้มกันทางความคิด...

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ทุกอย่างในยุคนี้สามารถส่งถึงมือคุณได้หมด แค่เพียง "คลิ๊ก" "โทร" หรือเพียงแค่ "พลิก" (หนังสือ) ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญเสมือนยาเสพติด หลายคนรู้สึกว่าถ้าขาดการรัีบรู้เพียงหนึ่งวัน อาจทำให้มีอาการ "ถอน" หรือที่เราเรียกกันว่า ลงแดง (Withdrawal) ได้

ไม่ว่าจะเป็น Forward Mail, Pop Up Window ข่าวซุบซิบดารา-สังคม ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสามี-ภรรยา (คนอื่น) ได้รับการส่งต่ออย่างรวดเร็วไวกว่าแสงส่งมาตรงหน้า บางครั้งไม่ได้รับเชิญ เป็นเหมือนบททดสอบภูมิคุ้มกันของผู้รับสาร ว่ามีความสามารถในการคัดกรอง (Screening) สิ่งที่ดีมีประโยชน์ มีคุณค่าอย่างแท้จริง ออกจากสิ่งปลอมๆ มากน้อยแค่ไหน

อันที่จริงภูมิคุ้มกันทางการรับรู้ข่าวสารข้อมูลได้มาจากประสบการณ์ส่วนหนึ่ง การได้รับการอบรมสั่งสอนอีกส่วนหนึ่ง และของบางอย่างไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากว่ามีหนังสือดีๆ ครูดีๆ ผู้ปกครองดีๆ สอน ก็สามารถแยกแยะได้ว่าอย่างไหนเชื่อถือได้ อย่างไหนเป็นข่าวโคมลอย

เราจะสังเกตได้ว่า Forward Mail บางครั้งมีการส่งกันแบบ "ลูกโซ่" ที่เมื่อได้รับแล้วต้องส่งต่ออีก 1,000 ฉบับ แล้วจะแคล้วคลาด พบเนื้อคู่ ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นเป็นอนันต์ บ้างเป็นรูปศิลปะเหมือนจริงของสรีระหญิง-ชาย ที่ว่าหาดูได้ยากและอีกมากมาย เป็นเมล์สร้างสรรค์ ให้ข้อคิดดีๆ เตือนให้มีสติ เช่น คำสอนของพระุพุทธเจ้าที่ไม่มีวันตกยุค

ดังนั้น ความสามารถในการมีภูมิคุ้มกันที่ดีทางความคิด ความเชื่อ จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันภัยอย่างดีในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่ามาจากทุกทิศทุกทางเช่นทุกวันนี้

ก่อนจะเชื่อข่าวอะไรง่ายๆ คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองอีกสักนิดน่าจะดีกว่าค่ะ

ร้อนนี้... เลือกกินอาหารอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

บทความโดย คุณศุภลักษณ์ ทองนุ่น นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

อากาศร้อนอย่างนี้ หลายคนเริ่มมองหาไอศกรีม ข้าวแช่ หวานเย็นแท่ง ฯลฯ ที่ชุ่มชื่น เย็นฉ่ำ ช่วยลดอุณหภูมิรอบข้างลงไปได้อีกหลายองศา

ช่วงหน้าร้อน เรามักจะรู้สึกเพลียๆ ไม่อยากออกกำลังกาย ไม่อยากออกไปข้างนอก นั่งมองแดดแล้วก็คิดว่านั่งเล่นอยู่กับบ้านดีกว่า ทั้งๆ ที่ตั้งใจไปเล่นกีฬา ออกกำลังกายกับเพื่อนๆ ยิ่งไปกว่านั้น การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาพอากาศเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สามารถทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมีชีวิตชีวาขึ้นค่ะ

อาการเพลียในหน้าร้อน เกิดจากอะไร
พญ.เรขา กลลดาเืรืองไกร อธิบายว่า สาเหตุที่เรารู้สึกเพลียช่วงหน้าร้อน เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่สูงขึ้น แสงแดดส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เหงื่อออกมากขึ้น (Dehydration) ร่างกายต้องสูญเสียสารเกลือแร่ (Electrolyte) ไปกับเหงื่อ ซึ่งเรามักจะรู้สึกว่ากระชุ่มกระชวยขึ้นเืมื่อดื่มน้ำเกลือแร่

เนื่องจากเกลือแร่ในน้ำดื่ม สามารถดูดซึมไปทดแทนสิ่งที่เสียไปทางเหงื่อได้ในทันที (เร็วกว่าอาหาร) ที่สำคัญ น้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยควบคุมและปรับสมดุลอุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้นสังเกตได้ว่าถ้าเราได้รับน้ำน้อย ผิวและริมฝีปากจะแห้ง

ทำไมจึงควรระมัดระวังการทานอาหารในหน้าร้อน
ช่วงหน้าร้อน ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายๆ เนื่องจากระบวนการย่อยอาหารต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก การย่อยอาหารเป็นกระบวนการใช้พลังงานมากที่สุดอย่างหนึ่งของร่างกาย ปริมาณพลังงานที่ใช้มากกว่าการวิ่ง การว่ายน้ำและการขี่จักรยาน ถ้าเรารับประมานอาหารที่ย่อยยากๆ เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวมะม่วง อาหารที่มีกะทิเยอะๆ อาหารทอด ฯลฯ ช่วงหน้าร้อน ร่างกายที่อ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ไปกับเหงื่อเป็นจำนวนมาก จะทำให้ย่อยอาหารได้ช้าลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยกว่าปกติ จึงเกิดอาการง่วง ซึมและอ่อนเพลีย (Fatigue)

ถ้าเรารับประทานอาหารที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศร้อนๆ ของบ้านเรา ก็จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น ไม่ง่วงซึม โดยควรเริ่มจากการรับประทานอาหาร ดังนี้
  • ควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็น ตามแนวแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine)
  • ควรรับประทานอาหารที่มีลักษณะเป็นน้ำๆ (Soft, Liquid Diet)
  • ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
  • ควรดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง (Room Temperature) คือ 25 องศาเซลเซียส และควรจิบน้ำตลอดเวลา เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย
ทานอะไรดี จึงจะช่วยคลายร้อน
อาหารที่ควรรับประทาน
  • กลุ่มคาร์โบไฮเดรต วุ้นเส้นที่ทำจากแป้ง (ไม่ใช่ถั่วเขียว) ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยวสีขาวที่ไม่มีน้ำมัน ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ฯลฯ
  • กลุ่มโปรตีน ถั่วเหลือง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ถั่วขาว ถั่วเขียว ฯลฯ
  • กลุ่มผัก ผลไม้ มะละกอดิบ สายบัว กล้วยดิบ หัวปลี ผักตำลึง ผักบุ้ง ฟัก แฟง แตงกวา บวบ ยอดฟักแม้ว ผักบล็อคเคอรี่ ผักกาดขาว หัวไชเท้า ผักกาดหอม ฯลฯ
กลุ่มสารอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
  • กลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ควรหลีกเลี่ยง ข้าวเหนียว แป้งขัดขาว ข้าวเหนียวดำ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ เผือก มัน กลอย อาหารหรือขนมที่มีรสหวานจัด เช่น ไอศกรีม เค้ก ฯลฯ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฯลฯ
  • กลุ่มโปรตีนที่ควรหลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น วัว หมู แพะ ฯลฯ นม ไข่ ถั่วลิสง ถั่วทอด เต้าเจี้ยว มิโซะ โยเกิร์ต ฯลฯ
  • กลุ่มไขมัน กะทิ มะพร้่าว ไขมันสัตว์ต่างๆ เนื้อสัตว์ติดมัน เมล็ดฟักทอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำมันพืช ฯลฯ
  • กลุ่มผัก ผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงผักที่เป็นหัว เช่น เผือก มันเทศ มันฝรั่ง แครอท บีทรูท มันสำปะหลัง ฯลฯ เนื่องจากอาหารกลุ่มนี้เป็นกลุ่มอาหารที่ย่อยยาก กระเพาะอาหารใช้พลังงานในการย่อยสูง ส่งผลให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย รวมทั้งกลุ่มผักที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ใบกะเพรา ใบแมงลัก กระชาย ยี่หร่า พริก ต้นหอม หอมหัวใหญ่ กระเทียม ขิง ข่า ขมิ้น ไพล ฯลฯ ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือทานในปริมาณที่น้อยลงเช่นกัน
ร้อนนี้ อย่าลืมใ่ส่ใจกับการทานอาหารเพิ่มขึ้นอีกนิดนะคะ เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง


สารบ่งชี้มะเร็ง

การตรวจเลือดชนิดต่างๆ เพื่อหามะเร็ง เช่น ตรวจ CEA, PSA, CA 15-3, Alpha-fetoprotein (AEP) ฯลฯ ที่เราได้ยินจากโปรแกรมตรวจเลือดต่างๆ นั้น เป็นการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง

สารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Maker) คืออะไร
ในภาวะที่เซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็ง กลไกควบคุมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์จะเสียไป ทำให้เซลล์นั้นๆ แบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ เป็นผลให้มีการสร้างสารแอนติเจนหรือสารอื่นๆ เช่น ฮอร์โมนหรือเอนไซม์ที่ไม่เหมือนเซลล์ปกติ

แอนติเจนเหล่านี้ นอกจากจะพบอยู่ภายในเซลล์และบนผิวหนังของเซลล์แล้ว เซลล์มะเร็งยังสามารถปลดปล่อยสารดังกล่าวออกสู่กระแสเลือด หรือสารคัดหลั่งอื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งสารต่างๆ ที่เกิดจากเซลล์มะเร็งเหล่านี้ รวมเรียกว่าเป็นสารบ่งชี้มะเร็ง สารเหล่านี้สามารถตรวจหาได้จากเลือดหรือสารคัดหลั่ง เช่น น้ำในช่องท้อง น้ำในช่องปอดของผู้ป่วยรายนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม การตรวจพบระดับสารบ่งชี้มะเร็งสูงกว่าปกติเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยรายนั้นเป็นมะเร็งอย่างแน่นอน แต่จำเป็นต้องพิจารณาร่วมไปกับผลการตรวจทางคลินิกและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ

การตรวจซ้ำเป็นระยะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อศึกษาดูว่าระดับของสารดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ถ้าตรวจซ้ำแล้วพบว่าระดับสารบ่งชี้มะเร็งสูงขึ้นเป็นลำดับ จะเป็นเครื่องชี้แนะให้สงสัยโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าตรวจซ้ำแล้วระดับลดลง น่าจะบ่งชี้ว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง

แต่ถึงแม้ตรวจสารบ่งชี้มะเร็งแล้วพบว่าระดับอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ไม่ได้ยืนยันแน่นอนว่าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เป็นมะเร็ง เนื่องจากระดับสารบ่งชี้มะเร็งมักจะสัมพันธ์กับขนาดหรือระยะของโรคมะเร็ง ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มแรก จึงยังอาจพบระดับสารบ่งชี้มะเร็งปกติได้

สรุปก็คือ การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งจากเลือด เป็นการตรวจหาสารที่ผลิตจากเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจมีความแม่นยำไม่สูงมากนัก แต่สามารถช่วยแพทย์ได้ในการตรวจหามะเร็งบางกรณี หากพบมีการเปลี่ยนแปลงระดับต่อเนื่องในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง

หรืออาจใช้ช่วยติดตามการรักษา หรือบอกการพยากรณ์โรคได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศันสนีย์ เสนะวงษ์
ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช

ผู้ชายกับศัลยกรรม (Cosmetic surgery for Men)

บทความโดย นพ.นิเวศ เสริมศีลธรรม

ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีใครมาบอกเราว่าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนั้นไปทำศัลยกรรมมา ทุกคนมักจะลงความเห็นไปในทันทีว่า ต้องเป็นผู้หญิงประเภทสองอย่างแน่นอน แต่สำหรับวันนี้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ผู้ชายแท้ๆ สักคนจะเดินเข้าคลินิกศัลยกรรมอย่างเปิดเผย ไม่ต้องปิดบังหรือหลบซ่อนอีกต่อไป

ผู้ชายที่เปลี่ยนไป
โลกที่เปลี่ยนไป สังคมที่เปลี่ยนไป ทัศนคติก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันคุณผู้ชาย (แท้ๆ) ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย ดูได้จากฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่เปิดกันเป็นดอกเ็ห็ด มีทั้งเทรนเนอร์กลุ่มและเทรนเนอร์ส่วนตัว หรือการดูแลผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางสำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะ

ถ้าเปรียบกับผู้ชายสมัยคุณพ่อ แค่ทาครีมกันแดดก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ได้แล้ว แต่ทุกวันนี้ใครที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน กลับจะดูเป็นเรื่องผิดปกติไป คุณผู้ชายรุ่นใหม่ดูแลตัวเองมากกว่าคนรุ่นก่อนเอามากๆ เพื่อให้ตนเองดูดีตลอดเวลา

ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเหล่านั้นทราบดีว่า ในสังคมปัจจุบันนอกจากความรู้ดีแล้ว บุคลิกภาพ รูปร่างหน้าตาจะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน จึงไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลามากระชากเอาความดูดี ความสดใสของตนเองที่ดูแลมาโดยตลอดไปได้

ทำไมผู้ชายจึงสนใจเรื่องศัลยกรรม
ถึงแม้คุณผู้ชายจะดูแลตนเองมากแค่ไหน ก็ยังจะมีบางส่วนที่ไม่สามารถจัดการให้ดูดีสมใจได้ อีกทั้งกาลเวลาก็ไม่เคยปรานีใครเช่นกัน สักวันหนึ่งทุกอย่างก็จะร่วงโรยและหย่อนยานไปตามกาลเวลา และด้วยทัศนคติในเรื่องบุคลิกภาพต่อความสำเร็จที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีความมั่นใจกลับคืนมา ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและทันสมัย ทำให้ "ปฏิบัติการคืนวัย" ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป

ความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
จากสถิติการทำศัลยกรรมตกแต่งในประเทศอเมริกาปี 2006 พบว่าในจำนวนผู้ที่ใช้บริการทางด้านศัลยกรรมประมาณ 10 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ชายถึง 1 ล้านคน หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และแนวโน้มน่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ

ในประเทศไทยเอง ถึงจะไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด แต่จากการติดตามผู้ที่เข้ามารับบริการในคลินิก พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นจริงๆ บางวันมากกว่าคุณผู้หญิงด้วยซ้ำไป

ศัลยกรรมยอดนิยมสำหรับผู้ชาย
อันดับยอดนิยมในอเมริกา ได้แก่ การดูดไขมัน (พุงและเอว) การแก้ไขจมูก การแก้ไขหนังตาและถุงไขมันใต้ตา การลดขนาดเต้านม (ที่โตผิดปกติ) และการดึงหน้า นี่ยังไม่นับรวมถึงการฉีดยาลดริ้วรอย การใช้สารเติมแต่งหรือการใช้แสงเลเซอร์เพื่อดูแลผิวพรรณอีกไม่รู้เท่าไร สำหรับประเทศไทยเองก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และน่าจะเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก

ศัลยกรรมตกแต่งสำหรับผู้ชายจึงไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจหรือเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเหล่านั้นเชื่อเหลือเกินว่าบุคลิกภาพที่ดีย่อมนำไปสู่ความมั่นใจและความสำเร็จ และศัลยกรรมก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถนำเขาไปสู่จุดนั้นได้

ศัลย์และศิลป์
ศััลยกรรมตกแต่งถือเป็นงานที่แพทย์จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างหรือสรีระของคนทั่วไปเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะจะต้องนำความรู้เหล่านั้นไปแก้ไขความพิการที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ให้กลับมาเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงดังเดิมให้้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และด้วยเนื้อเยื่อของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดแล้ว ศัลยแพทย์ตกแต่งจึงต้องวางแผนการรักษาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทั้งรูปร่าง ความสวยงามและการทำงานของอวัยวะส่วนนั้นๆ จึงเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งศัลยกรรมและศิลปะควบคู่กันไปเสมอ

แต่สำหรับงานด้านศัลยกรรมความงามแล้ว ศิลปะที่ใช้ดูจะต้องลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก เนื่องจากเรากำลังแก้ไขคนปกติให้มีรูปร่างหน้าตาที่ดูดียิ่งขึ้น

ลักษณะงานที่ทำ จึงไม่ใช่งานที่มีลักษณะเป็น "บล็อก" หรือแบบเดียวกันเสมอไป เนื่องจากรูปร่างหน้าตาและโครงสร้างในแต่ละส่วน แต่ละคนล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกทั้งเป็นความงามในลักษณะ 3 มิติ ดังนั้นจึงไม่สามารถดูเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งได้ เช่นการแก้ไขรูปจมูก จำเป็นต้องดูองค์ประกอบส่วนใบหน้า ดวงตาหรือคางร่วมด้วยเสมอ ไม่สามารถแยกส่วนเฉพาะจมูกได้ เป็นต้น

มุมมองที่แตกต่าง
ด้วยเหตุที่ความสวยงามเป็นเรื่องของมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉกเช่นเดียวกับรูปปั้นที่บรรจงขึ้นอย่างดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังไม่วายที่จะถูกตำหนิจนได้

สำหรับศัลยกรรมความงามแล้วย่อมมีผลต่อจิตใจของเจ้้าของเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ปลื้มปิติอย่างมีความสุขหรือเสียใจสุดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นงานปั้นของศัลยแพทย์ตกแต่ง จึงจำเป็นต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ผลงานออกมาดีและถูกใจเจ้าของในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าแพทย์จะใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม โอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดย่อมมีได้เสมอ ดังนั้น ผู้รับบริการก็ย่อมต้องเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้เช่นเดียวกัน ไม่่คาดหวังเกินกว่าศาสตร์และศิลป์ที่มีอยู่ในขณะนี้จะบันดาลให้ได้

คุณต้องการอะไรในชีวิต

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ในความวุ่นวายของชีวิตเมืองทุกวันนี้ "เรา" คนส่วนใหญ่ได้ใช้เวลา 1 วัน เท่าๆ กันไปกับอะไร เป็นคำถามที่น้อยคนหรือน้อยครั้งที่คนจะหยุึดคิด

ทำงาน กินข้าวเที่ยง ทำงาน กินข้าวเย็น ทำงานบ้าน เข้านอน ฝัน จนกระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกดังอีกครั้งหนึ่ง วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า (คนหลายคน "ตาย" โดยไม่ทันรู้ตัว ไม่ทันเตรียมตัว ขณะกำลังวิ่งอยู่ในวงล้อของนาฬิกาปลุก คนอีกหลายคน "เสมือนตาย" เพราะไม่เคยไปถึงบ่อแห่งปัญญาได้ว่า "จริงๆ แล้วชีวิตเราต้องการสิ่งใดแน่)

ทางทฤษฎีแล้ว การกระทำทุกๆ อย่าง เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า "แรงจูงใจ" (Motivation) ในทฤษฎีต่างๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับความต้องการ (Needs) นั้น พบว่าทฤษฎีที่โดดเด่นและสามารถประยุกต์ใช้ในวงการต่างๆ ได้ คือ ทฤษฎีของ Abraham Maslow (1908-1970)

Maslow ได้แบ่ง Needs ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่
ระดับที่ 1 ความต้องการทางกายภาพและชีวภาพ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความต้องการขั้นพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย การนอน การมีเพศสัมพันธ์

ระดับที่ 2 ความต้องการความปลอดภัย คือ ความปลอดภัยจากอันตรายและความไม่แน่นอนทั้งหลาย การมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีรปภ. มีสัญญาณกันขโมย มีระบบนิรภัย กฎหมายข้อจำกัดต่างๆ เป็นการตอบสนองต่อความต้องการในระดับนี้

ระดับที่ 3 ความต้องการความรัก และการยอมรับจากผู้อื่น ทั้งจากครอบครัว เพื่อน คนรักหรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง เห็นได้ชัดว่าในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น มักใช้เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ในการเติมเต็มความต้องการในระดับนี้ ทั้งจากปรากฏการณ์นี้ โรงแรมถูกจองเต็มในวันวาเลนไทน์ การใช้ของตามแฟชัน ตามเพื่อน ตามดารา หรือแม้กระทั่งเด็กแว๊นกับเด็กสก๊อย ล้วนอยู่ในการตอบสนองความต้องการในระดับนี้ทั้งสิ้น

ระดับที่ 4 ความต้องการที่จะภาคภูมิใจในตนเอง
  • ภาษาชาวบ้้านก็คือ ความรู้สึกที่ว่าตัวเองก็ "ดี" อยู่เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม
  • นามธรรม เช่่น ความมีชื่อเสียง ความสำเร็จ ชัียชนะ มีเกียรติ
  • รูปธรรม เช่น รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้าที่สวยงาม มีรถสปอร์ต มีบ้านที่สวยงาม เฟอร์นิเจอร์มีดีไซน์ มีแฟนหน้าตาดี มีกิ๊กที่รู้ใจ
ระดับที่ 5 ความต้องการที่จะบรรลุถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
เป็นเรื่องของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง รู้จักตัวเองและยอมรับตัวเองได้อย่างสุดจิตสุดใจ เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้อื่นมาเป็นปัจจัยหรือเป็นตัวแปร x ในสมการ ตัวอย่างเช่น
  • ตระหนักรู้ตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเอง
  • มองปัญหาเป็นสิ่งที่มีหนทางแก้ไข ไม่ใช่เป็นการตำหนิ-แก้ตัว
  • มีึความสุข ความพึงพอใจได้แม้จะอยู่คนเดียว
  • มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช้สมองร่วมกับคนอื่น
  • ยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น วัฒนธรรมอื่นได้
มีประชากรเพียง 2 เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้เท่านั้น ที่พยายามจะบรรลุถึงขั้นที่ 5 นี้ เพราะเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากกว่า ต้องใช้ความพยายามมากกว่า เห็นผลช้า และที่เห็นไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน อวดชาวบ้านไม่ได้

การตอบสนองในระดับที่ 5 นั้น ทั้งไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก ผลแห่งความพึงพอใจที่ได้จะคงอยู่ระยะยาว เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวมมาก ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเพราะไม่โลภ "พอใจ" เป็น และ "หยุด" เป็น