ออกกำลังกายง่ายๆ ช่วยให้ Fit & Firm

บทความโดย คุณอิศรา แก่นพรหม นักสุขศึกษา โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

หนุ่มสาวออฟฟิศอยากออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลากันใช่ไหมคะ ในเทศกาลที่อบอวลไปด้วยความรักปีนี้ เราชวนเขาหรือเธอมาร่วมกันช่วยสร้างความหวานใส แบบสุขภาพดีร่วมกันดีกว่า

กิจวัตรประจำวัน ก็เป็นการออกกำลังกาย
ทราบไหมคะ ว่าการทำกิจวัตรประจำวันก็เป็นการออกกำลังกายที่ดี เพียงแต่เราควรทำอย่างต่อเนื่องกัน ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป เพื่อให้เป็นการออกกำลังกายเแบบแอโรบิคส์ (Aerobic Exercise) และออกกำลังกายกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardio Exercise) ซึ่งช่วยให้ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบดูดซึมอาหารดีขึ้น และยังช่วยให้กล้ามเนื้อ ข้อต่อและกระดูกดีขึ้นอย่างชัดเจน

กิจวัตรประจำวันอย่างไหน เผาผลาญแคลอรีไปเท่าไหร่ เรามีข้อมูลมาเล่าให้ฟังตามรายการข้างล่างค่ะ








ปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละกิจวัตรประจำวัน


การเดินทาง
1. เดินขึ้นบันได (15 นาที)
ชาย
65 กก. = 150 แคลอรี / 75 กก. = 150 แคลอรี /
85 กก. = 150 แคลอรี
หญิง
45 กก. = 150 แคลอรี / 55 กก. = 150 แคลอรี / 65 กก. = 150 แคลอรี / 75 กก. = 150 แคลอรี

2. เดินบนถนน (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 37 แคลอรี / 75 กก. = 43 แคลอรี / 85 กก. = 48 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 25 แคลอรี / 55 กก. = 31 แคลอรี / 65 กก. = 37 แคลอรี / 75 กก. = 43 แคลอรี

เล่นดนตรี (1 ชั่วโมง)
1. ตีกลอง
ชาย 65 กก. = 202 แคลอรี / 75 กก. = 219 แคลอรี / 85 กก. = 236 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 154 แคลอรี /55 กก. = 165 แคลอรี / 65 กก. = 177 แคลอรี /75 กก. = 189 แคลอรี

2. ยืนเล่นกีตาร์ (พลังงาน/น้ำหนัก)
ชาย 65 กก. = 177 แคลอรี (60 กก.) / 75 กก. = 211 แคลอรี (70 กก.) / 85 กก. = 259 แคลอรี

งานบ้าน
1. ถูบ้าน (20 นาที)
ชาย 65 กก. = 75 แคลอรี / 75 กก. = 87 แคลอรี / 75 กก. = 99 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 56 แคลอรี / 55 กก. = 68 แคลอรี / 65 กก. = 81 แคลอรี / 75 กก. = 93 แคลอรี

2. กวาดพื้น (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 15 แคลอรี / 75 กก. = 18 แคลอรี / 85 กก. = 20 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 11 แคลอรี / 55 กก. = 13 แคลอรี / 65 กก. = 15 แคลอรี / 75 กก. = 18 แคลอรี

3. ล้างห้องน้ำ (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 13 แคลอรี / 75 กก. = 15 แคลอรี / 85 กก. = 17 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 9 แคลอรี / 55 กก. = 11 แคลอรี / 65 กก. = 13 แคลอรี / 75 กก. = 15 แคลอรี

4. รีดผ้า (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 250 แคลอรี / 75 กก. = 288 แคลอรี / 85 กก. = 326 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 89 แคลอรี / 55 กก. = 109 แคลอรี / 65 กก. = 129 แคลอรี / 75 กก. = 149 แคลอรี

5. ทำกับข้าว (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 187 แคลอรี / 75 กก. = 216 แคลอรี / 85 กก. = 249 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 122 แคลอรี / 55 กก. = 149 แคลอรี / 65 กก. = 176 แคลอรี / 75 กก. = 202 แคลอรี

6. ขุดดิน (10 นาที)
ชาย 65 กก. = 82 แคลอรี / 75 กก. = 95 แคลอรี / 85 กก. = 107 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 57 แคลอรี / 55 กก. = 69 แคลอรี / 65 กก. = 82 แคลอรี / 75 กก. = 95 แคลอรี

กิจกรรมในครอบครัว
1. เดินซื้อของในจตุจักร (2 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 482 แคลอรี / 75 กก. = 522 แคลอรี / 85 กก. = 592 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 335 แคลอรี / 55 กก. = 409 แคลอรี / 65 กก. = 483 แคลอรี / 75 กก. = 586 แคลอรี

2. เดินซื้อกับข้าวในตลาดสด (30 นาที)
ชาย 65 กก. = 160 แคลอรี / 75 กก. = 185 แคลอรี / 85 กก. = 209 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 111 แคลอรี / 55 กก. = 135 แคลอรี / 65 กก. = 160 แคลอรี / 75 กก. = 185 แคลอรี

การเล่นกีฬา
1. เต้นแอโรบิคส์-ปานกลาง (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 402 แคลอรี / 75 กก. = 463 แคลอรี / 85 กก. = 525 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 278 แคลอรี / 55 กก. = 340 แคลอรี / 65 กก. = 402 แคลอรี / 75 กก. = 463 แคลอรี

2. เต้นแอโรบิคส์-หนัก (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 527 แคลอรี / 75 กก. = 606 แคลอรี / 85 กก. = 689 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 364 แคลอรี / 55 กก. = 446 แคลอรี / 65 กก. = 527 แคลอรี / 75 กก. = 607 แคลอรี

3. ว่ายน้ำ-ท่ากบ (40 นาที)
ชาย 65 กก. = 421 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี / 85 กก. = 550 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 291 แคลอรี / 55 กก. = 356 แคลอรี / 65 กก. = 422 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี

4. ว่ายน้ำ-ท่ากรรเชียง (40 นาที)
ชาย 65 กก. = 438 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี / 85 กก. = 550 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 291 แคลอรี / 55 กก. = 356 แคลอรี / 65 กก. = 422 แคลอรี / 75 กก. = 485 แคลอรี

5. แบดมินตัน (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 378 แคลอรี / 75 กก. = 436 แคลอรี / 85 กก. = 494 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 262 แคลอรี / 55 กก. = 320 แคลอรี / 65 กก. = 378 แคลอรี / 75 กก. = 436 แคลอรี

6. ฟุตบอล (1 ชั่วโมง)
ชาย 65 กก. = 514 แคลอรี / 75 กก. = 594 แคลอรี / 85 กก. = 673 แคลอรี
หญิง 45 กก. = 356 แคลอรี / 55 กก. = 436 แคลอรี / 65 กก. = 514 แคลอรี / 75 กก. = 594 แคลอรี

อย่าลืมว่า กิจวัตรประจำวัน ถ้าทำอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ก็เป็นการออกกำลังกายได้

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล กองออกกำลังกาย กระทรวงสาธารณสุข




สุขจน "ลืมกลืน"

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

เมื่อพูดถึงเรื่องความหวานที่อยู่รอบๆ ตัว นอกจากลูกอม ขนมเค้ก คุกกี้แล้ว ขนมไทยๆ อีกมากมายก็เป็นที่มาของความหอมหวาน

ขนมไทยนั้น นอกจากจะมีกรรมวิธีการผลิตที่วิจิตรบรรจงแล้ว การตั้งชื่อก็มักจะมีที่มาที่ไป และอธิบายสรรพคุณของขนมนั้นๆ จนแทบจะนึกรสชาติออกทันทีที่ได้ยินชื่อ

ขนมไทย "ลืมกลืน" ทำมาจากแป้งถั่วเขียวเป็นหลัก แต่งกลิ่นด้วยน้ำจากดอกมะลิ เติมความหวานด้วยน้ำตาล จัดมาพอดีคำรูปสี่เหลี่ยมวางบนใบตอง และโรยหน้าด้วยกลีบดอกไม้สีสวยสด ด้วยเป็นอาหารที่ทำให้คนที่รับประทานมีความสุข ความเพลิดเพลินกับรูป รส กลิ่น สัมผัสละมุนบนลิ้นเสียจนไม่อยากจะกลืน ทำให้คนโบราณยกย่องในคุณสมบัตินี้จนขนานนามให้

ขนมลืมกลืนเปรียบไปก็คล้ายกับชีวิตของคนเราในช่วงที่ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นช่างหอมหวาน มองอะไรเป็นสีชมพู จนหลายคนหลงเพลิดเพลินกับความหวานแบบนี้จนลืมคิดไปว่า ความรักมันย่อมมีวันจืดจาง

บางครั้งมากกว่าจืดจางด้วยซ้ำ คือ หายไปไม่มีเหลือเลย ก็มีอยู่บ่อยๆ ซึ่งหากเรายึดติดย่อมนำไปสู่ความทุกข์จากการสูญเสีย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องของความไม่เที่ยง บางคนลืมไปว่าต้องมีการพลัดพรากจากกันไป ไม่จากเป็นก็จากตาย








หลายคนตามหารักแท้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านไปครึ่งชีวิตก็ไม่พบ ลืมไปว่าต้องให้ความรักกับตนเอง (ในทางที่ถูก) และกับครอบครัว คนรอบข้าง หลายคนต้องการความรักจากคนอื่น แม้ว่าจะเป็นได้แค่กิ๊กเท่านั้น หลงลืมไปว่าการกระทำนั้นๆ อาจทำให้ตนเองเสียใจเมื่อกลับมาหวนคิดถึงตอนหลัง หรืออาจสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวอื่น ผิดศีลธรรมหรือสร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีแก่ตนเอง

เดือนแห่งความรักผ่านมาอีกครั้ง อย่าลืมทำให้มันผ่านไปแบบที่เราได้เรียนรู้มากขึ้น

ภูมิคุ้มกันทางความคิด...

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ทุกอย่างในยุคนี้สามารถส่งถึงมือคุณได้หมด แค่เพียง "คลิ๊ก" "โทร" หรือเพียงแค่ "พลิก" (หนังสือ) ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญเสมือนยาเสพติด หลายคนรู้สึกว่าถ้าขาดการรัีบรู้เพียงหนึ่งวัน อาจทำให้มีอาการ "ถอน" หรือที่เราเรียกกันว่า ลงแดง (Withdrawal) ได้

ไม่ว่าจะเป็น Forward Mail, Pop Up Window ข่าวซุบซิบดารา-สังคม ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสามี-ภรรยา (คนอื่น) ได้รับการส่งต่ออย่างรวดเร็วไวกว่าแสงส่งมาตรงหน้า บางครั้งไม่ได้รับเชิญ เป็นเหมือนบททดสอบภูมิคุ้มกันของผู้รับสาร ว่ามีความสามารถในการคัดกรอง (Screening) สิ่งที่ดีมีประโยชน์ มีคุณค่าอย่างแท้จริง ออกจากสิ่งปลอมๆ มากน้อยแค่ไหน

อันที่จริงภูมิคุ้มกันทางการรับรู้ข่าวสารข้อมูลได้มาจากประสบการณ์ส่วนหนึ่ง การได้รับการอบรมสั่งสอนอีกส่วนหนึ่ง และของบางอย่างไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากว่ามีหนังสือดีๆ ครูดีๆ ผู้ปกครองดีๆ สอน ก็สามารถแยกแยะได้ว่าอย่างไหนเชื่อถือได้ อย่างไหนเป็นข่าวโคมลอย

เราจะสังเกตได้ว่า Forward Mail บางครั้งมีการส่งกันแบบ "ลูกโซ่" ที่เมื่อได้รับแล้วต้องส่งต่ออีก 1,000 ฉบับ แล้วจะแคล้วคลาด พบเนื้อคู่ ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นเป็นอนันต์ บ้างเป็นรูปศิลปะเหมือนจริงของสรีระหญิง-ชาย ที่ว่าหาดูได้ยากและอีกมากมาย เป็นเมล์สร้างสรรค์ ให้ข้อคิดดีๆ เตือนให้มีสติ เช่น คำสอนของพระุพุทธเจ้าที่ไม่มีวันตกยุค

ดังนั้น ความสามารถในการมีภูมิคุ้มกันที่ดีทางความคิด ความเชื่อ จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันภัยอย่างดีในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่ามาจากทุกทิศทุกทางเช่นทุกวันนี้

ก่อนจะเชื่อข่าวอะไรง่ายๆ คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองอีกสักนิดน่าจะดีกว่าค่ะ

ร้อนนี้... เลือกกินอาหารอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

บทความโดย คุณศุภลักษณ์ ทองนุ่น นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

อากาศร้อนอย่างนี้ หลายคนเริ่มมองหาไอศกรีม ข้าวแช่ หวานเย็นแท่ง ฯลฯ ที่ชุ่มชื่น เย็นฉ่ำ ช่วยลดอุณหภูมิรอบข้างลงไปได้อีกหลายองศา

ช่วงหน้าร้อน เรามักจะรู้สึกเพลียๆ ไม่อยากออกกำลังกาย ไม่อยากออกไปข้างนอก นั่งมองแดดแล้วก็คิดว่านั่งเล่นอยู่กับบ้านดีกว่า ทั้งๆ ที่ตั้งใจไปเล่นกีฬา ออกกำลังกายกับเพื่อนๆ ยิ่งไปกว่านั้น การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาพอากาศเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สามารถทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมีชีวิตชีวาขึ้นค่ะ

อาการเพลียในหน้าร้อน เกิดจากอะไร
พญ.เรขา กลลดาเืรืองไกร อธิบายว่า สาเหตุที่เรารู้สึกเพลียช่วงหน้าร้อน เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่สูงขึ้น แสงแดดส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เหงื่อออกมากขึ้น (Dehydration) ร่างกายต้องสูญเสียสารเกลือแร่ (Electrolyte) ไปกับเหงื่อ ซึ่งเรามักจะรู้สึกว่ากระชุ่มกระชวยขึ้นเืมื่อดื่มน้ำเกลือแร่

เนื่องจากเกลือแร่ในน้ำดื่ม สามารถดูดซึมไปทดแทนสิ่งที่เสียไปทางเหงื่อได้ในทันที (เร็วกว่าอาหาร) ที่สำคัญ น้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยควบคุมและปรับสมดุลอุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้นสังเกตได้ว่าถ้าเราได้รับน้ำน้อย ผิวและริมฝีปากจะแห้ง

ทำไมจึงควรระมัดระวังการทานอาหารในหน้าร้อน
ช่วงหน้าร้อน ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายๆ เนื่องจากระบวนการย่อยอาหารต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก การย่อยอาหารเป็นกระบวนการใช้พลังงานมากที่สุดอย่างหนึ่งของร่างกาย ปริมาณพลังงานที่ใช้มากกว่าการวิ่ง การว่ายน้ำและการขี่จักรยาน ถ้าเรารับประมานอาหารที่ย่อยยากๆ เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวมะม่วง อาหารที่มีกะทิเยอะๆ อาหารทอด ฯลฯ ช่วงหน้าร้อน ร่างกายที่อ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ไปกับเหงื่อเป็นจำนวนมาก จะทำให้ย่อยอาหารได้ช้าลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยกว่าปกติ จึงเกิดอาการง่วง ซึมและอ่อนเพลีย (Fatigue)

ถ้าเรารับประทานอาหารที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศร้อนๆ ของบ้านเรา ก็จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น ไม่ง่วงซึม โดยควรเริ่มจากการรับประทานอาหาร ดังนี้
  • ควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็น ตามแนวแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine)
  • ควรรับประทานอาหารที่มีลักษณะเป็นน้ำๆ (Soft, Liquid Diet)
  • ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
  • ควรดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง (Room Temperature) คือ 25 องศาเซลเซียส และควรจิบน้ำตลอดเวลา เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย
ทานอะไรดี จึงจะช่วยคลายร้อน
อาหารที่ควรรับประทาน
  • กลุ่มคาร์โบไฮเดรต วุ้นเส้นที่ทำจากแป้ง (ไม่ใช่ถั่วเขียว) ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยวสีขาวที่ไม่มีน้ำมัน ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ฯลฯ
  • กลุ่มโปรตีน ถั่วเหลือง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ถั่วขาว ถั่วเขียว ฯลฯ
  • กลุ่มผัก ผลไม้ มะละกอดิบ สายบัว กล้วยดิบ หัวปลี ผักตำลึง ผักบุ้ง ฟัก แฟง แตงกวา บวบ ยอดฟักแม้ว ผักบล็อคเคอรี่ ผักกาดขาว หัวไชเท้า ผักกาดหอม ฯลฯ
กลุ่มสารอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
  • กลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ควรหลีกเลี่ยง ข้าวเหนียว แป้งขัดขาว ข้าวเหนียวดำ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ เผือก มัน กลอย อาหารหรือขนมที่มีรสหวานจัด เช่น ไอศกรีม เค้ก ฯลฯ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฯลฯ
  • กลุ่มโปรตีนที่ควรหลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น วัว หมู แพะ ฯลฯ นม ไข่ ถั่วลิสง ถั่วทอด เต้าเจี้ยว มิโซะ โยเกิร์ต ฯลฯ
  • กลุ่มไขมัน กะทิ มะพร้่าว ไขมันสัตว์ต่างๆ เนื้อสัตว์ติดมัน เมล็ดฟักทอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำมันพืช ฯลฯ
  • กลุ่มผัก ผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงผักที่เป็นหัว เช่น เผือก มันเทศ มันฝรั่ง แครอท บีทรูท มันสำปะหลัง ฯลฯ เนื่องจากอาหารกลุ่มนี้เป็นกลุ่มอาหารที่ย่อยยาก กระเพาะอาหารใช้พลังงานในการย่อยสูง ส่งผลให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย รวมทั้งกลุ่มผักที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ใบกะเพรา ใบแมงลัก กระชาย ยี่หร่า พริก ต้นหอม หอมหัวใหญ่ กระเทียม ขิง ข่า ขมิ้น ไพล ฯลฯ ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือทานในปริมาณที่น้อยลงเช่นกัน
ร้อนนี้ อย่าลืมใ่ส่ใจกับการทานอาหารเพิ่มขึ้นอีกนิดนะคะ เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง


สารบ่งชี้มะเร็ง

การตรวจเลือดชนิดต่างๆ เพื่อหามะเร็ง เช่น ตรวจ CEA, PSA, CA 15-3, Alpha-fetoprotein (AEP) ฯลฯ ที่เราได้ยินจากโปรแกรมตรวจเลือดต่างๆ นั้น เป็นการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง

สารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Maker) คืออะไร
ในภาวะที่เซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็ง กลไกควบคุมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์จะเสียไป ทำให้เซลล์นั้นๆ แบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ เป็นผลให้มีการสร้างสารแอนติเจนหรือสารอื่นๆ เช่น ฮอร์โมนหรือเอนไซม์ที่ไม่เหมือนเซลล์ปกติ

แอนติเจนเหล่านี้ นอกจากจะพบอยู่ภายในเซลล์และบนผิวหนังของเซลล์แล้ว เซลล์มะเร็งยังสามารถปลดปล่อยสารดังกล่าวออกสู่กระแสเลือด หรือสารคัดหลั่งอื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งสารต่างๆ ที่เกิดจากเซลล์มะเร็งเหล่านี้ รวมเรียกว่าเป็นสารบ่งชี้มะเร็ง สารเหล่านี้สามารถตรวจหาได้จากเลือดหรือสารคัดหลั่ง เช่น น้ำในช่องท้อง น้ำในช่องปอดของผู้ป่วยรายนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม การตรวจพบระดับสารบ่งชี้มะเร็งสูงกว่าปกติเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยรายนั้นเป็นมะเร็งอย่างแน่นอน แต่จำเป็นต้องพิจารณาร่วมไปกับผลการตรวจทางคลินิกและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ

การตรวจซ้ำเป็นระยะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อศึกษาดูว่าระดับของสารดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ถ้าตรวจซ้ำแล้วพบว่าระดับสารบ่งชี้มะเร็งสูงขึ้นเป็นลำดับ จะเป็นเครื่องชี้แนะให้สงสัยโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าตรวจซ้ำแล้วระดับลดลง น่าจะบ่งชี้ว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง

แต่ถึงแม้ตรวจสารบ่งชี้มะเร็งแล้วพบว่าระดับอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ไม่ได้ยืนยันแน่นอนว่าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เป็นมะเร็ง เนื่องจากระดับสารบ่งชี้มะเร็งมักจะสัมพันธ์กับขนาดหรือระยะของโรคมะเร็ง ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มแรก จึงยังอาจพบระดับสารบ่งชี้มะเร็งปกติได้

สรุปก็คือ การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งจากเลือด เป็นการตรวจหาสารที่ผลิตจากเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจมีความแม่นยำไม่สูงมากนัก แต่สามารถช่วยแพทย์ได้ในการตรวจหามะเร็งบางกรณี หากพบมีการเปลี่ยนแปลงระดับต่อเนื่องในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง

หรืออาจใช้ช่วยติดตามการรักษา หรือบอกการพยากรณ์โรคได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศันสนีย์ เสนะวงษ์
ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช

ผู้ชายกับศัลยกรรม (Cosmetic surgery for Men)

บทความโดย นพ.นิเวศ เสริมศีลธรรม

ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีใครมาบอกเราว่าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนั้นไปทำศัลยกรรมมา ทุกคนมักจะลงความเห็นไปในทันทีว่า ต้องเป็นผู้หญิงประเภทสองอย่างแน่นอน แต่สำหรับวันนี้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ผู้ชายแท้ๆ สักคนจะเดินเข้าคลินิกศัลยกรรมอย่างเปิดเผย ไม่ต้องปิดบังหรือหลบซ่อนอีกต่อไป

ผู้ชายที่เปลี่ยนไป
โลกที่เปลี่ยนไป สังคมที่เปลี่ยนไป ทัศนคติก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันคุณผู้ชาย (แท้ๆ) ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย ดูได้จากฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่เปิดกันเป็นดอกเ็ห็ด มีทั้งเทรนเนอร์กลุ่มและเทรนเนอร์ส่วนตัว หรือการดูแลผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางสำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะ

ถ้าเปรียบกับผู้ชายสมัยคุณพ่อ แค่ทาครีมกันแดดก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ได้แล้ว แต่ทุกวันนี้ใครที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน กลับจะดูเป็นเรื่องผิดปกติไป คุณผู้ชายรุ่นใหม่ดูแลตัวเองมากกว่าคนรุ่นก่อนเอามากๆ เพื่อให้ตนเองดูดีตลอดเวลา

ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเหล่านั้นทราบดีว่า ในสังคมปัจจุบันนอกจากความรู้ดีแล้ว บุคลิกภาพ รูปร่างหน้าตาจะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน จึงไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลามากระชากเอาความดูดี ความสดใสของตนเองที่ดูแลมาโดยตลอดไปได้

ทำไมผู้ชายจึงสนใจเรื่องศัลยกรรม
ถึงแม้คุณผู้ชายจะดูแลตนเองมากแค่ไหน ก็ยังจะมีบางส่วนที่ไม่สามารถจัดการให้ดูดีสมใจได้ อีกทั้งกาลเวลาก็ไม่เคยปรานีใครเช่นกัน สักวันหนึ่งทุกอย่างก็จะร่วงโรยและหย่อนยานไปตามกาลเวลา และด้วยทัศนคติในเรื่องบุคลิกภาพต่อความสำเร็จที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีความมั่นใจกลับคืนมา ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและทันสมัย ทำให้ "ปฏิบัติการคืนวัย" ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป

ความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
จากสถิติการทำศัลยกรรมตกแต่งในประเทศอเมริกาปี 2006 พบว่าในจำนวนผู้ที่ใช้บริการทางด้านศัลยกรรมประมาณ 10 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ชายถึง 1 ล้านคน หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และแนวโน้มน่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ

ในประเทศไทยเอง ถึงจะไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด แต่จากการติดตามผู้ที่เข้ามารับบริการในคลินิก พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นจริงๆ บางวันมากกว่าคุณผู้หญิงด้วยซ้ำไป

ศัลยกรรมยอดนิยมสำหรับผู้ชาย
อันดับยอดนิยมในอเมริกา ได้แก่ การดูดไขมัน (พุงและเอว) การแก้ไขจมูก การแก้ไขหนังตาและถุงไขมันใต้ตา การลดขนาดเต้านม (ที่โตผิดปกติ) และการดึงหน้า นี่ยังไม่นับรวมถึงการฉีดยาลดริ้วรอย การใช้สารเติมแต่งหรือการใช้แสงเลเซอร์เพื่อดูแลผิวพรรณอีกไม่รู้เท่าไร สำหรับประเทศไทยเองก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และน่าจะเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก

ศัลยกรรมตกแต่งสำหรับผู้ชายจึงไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจหรือเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเหล่านั้นเชื่อเหลือเกินว่าบุคลิกภาพที่ดีย่อมนำไปสู่ความมั่นใจและความสำเร็จ และศัลยกรรมก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถนำเขาไปสู่จุดนั้นได้

ศัลย์และศิลป์
ศััลยกรรมตกแต่งถือเป็นงานที่แพทย์จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างหรือสรีระของคนทั่วไปเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะจะต้องนำความรู้เหล่านั้นไปแก้ไขความพิการที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ให้กลับมาเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงดังเดิมให้้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และด้วยเนื้อเยื่อของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดแล้ว ศัลยแพทย์ตกแต่งจึงต้องวางแผนการรักษาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทั้งรูปร่าง ความสวยงามและการทำงานของอวัยวะส่วนนั้นๆ จึงเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งศัลยกรรมและศิลปะควบคู่กันไปเสมอ

แต่สำหรับงานด้านศัลยกรรมความงามแล้ว ศิลปะที่ใช้ดูจะต้องลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก เนื่องจากเรากำลังแก้ไขคนปกติให้มีรูปร่างหน้าตาที่ดูดียิ่งขึ้น

ลักษณะงานที่ทำ จึงไม่ใช่งานที่มีลักษณะเป็น "บล็อก" หรือแบบเดียวกันเสมอไป เนื่องจากรูปร่างหน้าตาและโครงสร้างในแต่ละส่วน แต่ละคนล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกทั้งเป็นความงามในลักษณะ 3 มิติ ดังนั้นจึงไม่สามารถดูเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งได้ เช่นการแก้ไขรูปจมูก จำเป็นต้องดูองค์ประกอบส่วนใบหน้า ดวงตาหรือคางร่วมด้วยเสมอ ไม่สามารถแยกส่วนเฉพาะจมูกได้ เป็นต้น

มุมมองที่แตกต่าง
ด้วยเหตุที่ความสวยงามเป็นเรื่องของมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉกเช่นเดียวกับรูปปั้นที่บรรจงขึ้นอย่างดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังไม่วายที่จะถูกตำหนิจนได้

สำหรับศัลยกรรมความงามแล้วย่อมมีผลต่อจิตใจของเจ้้าของเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ปลื้มปิติอย่างมีความสุขหรือเสียใจสุดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นงานปั้นของศัลยแพทย์ตกแต่ง จึงจำเป็นต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ผลงานออกมาดีและถูกใจเจ้าของในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าแพทย์จะใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม โอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดย่อมมีได้เสมอ ดังนั้น ผู้รับบริการก็ย่อมต้องเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้เช่นเดียวกัน ไม่่คาดหวังเกินกว่าศาสตร์และศิลป์ที่มีอยู่ในขณะนี้จะบันดาลให้ได้

คุณต้องการอะไรในชีวิต

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ในความวุ่นวายของชีวิตเมืองทุกวันนี้ "เรา" คนส่วนใหญ่ได้ใช้เวลา 1 วัน เท่าๆ กันไปกับอะไร เป็นคำถามที่น้อยคนหรือน้อยครั้งที่คนจะหยุึดคิด

ทำงาน กินข้าวเที่ยง ทำงาน กินข้าวเย็น ทำงานบ้าน เข้านอน ฝัน จนกระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกดังอีกครั้งหนึ่ง วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า (คนหลายคน "ตาย" โดยไม่ทันรู้ตัว ไม่ทันเตรียมตัว ขณะกำลังวิ่งอยู่ในวงล้อของนาฬิกาปลุก คนอีกหลายคน "เสมือนตาย" เพราะไม่เคยไปถึงบ่อแห่งปัญญาได้ว่า "จริงๆ แล้วชีวิตเราต้องการสิ่งใดแน่)

ทางทฤษฎีแล้ว การกระทำทุกๆ อย่าง เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า "แรงจูงใจ" (Motivation) ในทฤษฎีต่างๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับความต้องการ (Needs) นั้น พบว่าทฤษฎีที่โดดเด่นและสามารถประยุกต์ใช้ในวงการต่างๆ ได้ คือ ทฤษฎีของ Abraham Maslow (1908-1970)

Maslow ได้แบ่ง Needs ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่
ระดับที่ 1 ความต้องการทางกายภาพและชีวภาพ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความต้องการขั้นพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย การนอน การมีเพศสัมพันธ์

ระดับที่ 2 ความต้องการความปลอดภัย คือ ความปลอดภัยจากอันตรายและความไม่แน่นอนทั้งหลาย การมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีรปภ. มีสัญญาณกันขโมย มีระบบนิรภัย กฎหมายข้อจำกัดต่างๆ เป็นการตอบสนองต่อความต้องการในระดับนี้

ระดับที่ 3 ความต้องการความรัก และการยอมรับจากผู้อื่น ทั้งจากครอบครัว เพื่อน คนรักหรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง เห็นได้ชัดว่าในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น มักใช้เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ในการเติมเต็มความต้องการในระดับนี้ ทั้งจากปรากฏการณ์นี้ โรงแรมถูกจองเต็มในวันวาเลนไทน์ การใช้ของตามแฟชัน ตามเพื่อน ตามดารา หรือแม้กระทั่งเด็กแว๊นกับเด็กสก๊อย ล้วนอยู่ในการตอบสนองความต้องการในระดับนี้ทั้งสิ้น

ระดับที่ 4 ความต้องการที่จะภาคภูมิใจในตนเอง
  • ภาษาชาวบ้้านก็คือ ความรู้สึกที่ว่าตัวเองก็ "ดี" อยู่เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม
  • นามธรรม เช่่น ความมีชื่อเสียง ความสำเร็จ ชัียชนะ มีเกียรติ
  • รูปธรรม เช่น รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้าที่สวยงาม มีรถสปอร์ต มีบ้านที่สวยงาม เฟอร์นิเจอร์มีดีไซน์ มีแฟนหน้าตาดี มีกิ๊กที่รู้ใจ
ระดับที่ 5 ความต้องการที่จะบรรลุถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
เป็นเรื่องของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง รู้จักตัวเองและยอมรับตัวเองได้อย่างสุดจิตสุดใจ เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้อื่นมาเป็นปัจจัยหรือเป็นตัวแปร x ในสมการ ตัวอย่างเช่น
  • ตระหนักรู้ตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเอง
  • มองปัญหาเป็นสิ่งที่มีหนทางแก้ไข ไม่ใช่เป็นการตำหนิ-แก้ตัว
  • มีึความสุข ความพึงพอใจได้แม้จะอยู่คนเดียว
  • มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช้สมองร่วมกับคนอื่น
  • ยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น วัฒนธรรมอื่นได้
มีประชากรเพียง 2 เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้เท่านั้น ที่พยายามจะบรรลุถึงขั้นที่ 5 นี้ เพราะเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากกว่า ต้องใช้ความพยายามมากกว่า เห็นผลช้า และที่เห็นไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน อวดชาวบ้านไม่ได้

การตอบสนองในระดับที่ 5 นั้น ทั้งไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก ผลแห่งความพึงพอใจที่ได้จะคงอยู่ระยะยาว เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวมมาก ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเพราะไม่โลภ "พอใจ" เป็น และ "หยุด" เป็น

ทำไม่กลัว กลัว (ทำแล้ว) ไม่สวย

บทความจาก หนังสือ "อ่านเถอะถ้าอยากสวย" โดย นพ.นิเวศ เสริมศีลธรรม

คราวก่อนพูดถึงผู้ชายสมัยนี้นิยมทำศัลยกรรมกันมากขึ้น ส่วนผู้หญิงก็มีมากไม่แพ้กัน แต่จะทำสวยทำหล่อสักที ต้องเลือกหมอ เลือกสถานที่อย่างไรให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไร้กังวล เห็นทีต้องเริ่มจากการหาข้อมูลก่อนครับ

ใครที่ติดตามข่าวสารด้านความสวยความงามอยู่เป็นประจำ คงได้ยินข่าวร้ายๆ เกี่ยวกัยการทำศัลยกรรมเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นดาราสาวอยากหน้าเด้ง สุดท้ายกลายเป็นหน้าเละ หรือสาวอยากอึ๋ม แต่ต้องจบชีวิตลงเนื่องจากคอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปเสริมนมทะลุปอด

ถ้าใครไม่รู้ก็คิดว่าศัลยกรรมนี่อันตรายจริงๆ แต่ถ้าอ่านลงไปในรายละเอียด จะพบว่าส่วนมากแล้วเกิดจากการกระทำของผู้ที่ไม่ใ่ช่แพทย์ หรือที่เรียกว่าหมอเถื่อนนั่นแหละ ใครที่สำนึกว่าถูกหลอกก็สายไปเสียแล้ว จะแก้ไขก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด บางรายทำมาแค่ไม่กี่พัน แต่เวลาแก้ไขต้องจ่ายเป็นหมื่นเป็นแสน แถมยังแก้ได้ไม่หมดอีกด้วย ครั้นจะไปเอาเรื่อง คุณท่านเหล่านั้นก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนกันหมดแล้ว

อยากสวยต้องรู้
ความสวยความงามไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไม่ทำวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะสายเกินไป หรือตลาดจะวายจนหาคนทำให้ไม่ได้ อยากสวยคงต้องใจเย็นๆ อยากศัลยกรรมตรงไหน ตา หู จมูก หน้า นม ท้อง ก็ควรไปทำการบ้านมาบ้าง ข้อมูลในปัจจุบันมีอยู่เยอะแยะื เช่น เว็บไซต์ของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย www.plasticsurgery.or.th หรือจะเป็นเว็บไซต์ของผู้เขียนก็ได้ที่ www.siamswan.com จากนั้นกลับมาพิจารณาว่าใช่ที่คุณอยากได้หรือเปล่า มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง และรับมันได้หรือไม่








หาให้ถูกหมอ

คงไม่มีใครบ้าพอที่จะไปหาหมอเด็กเพื่อทำศัลยกรรมนะครับ เรื่องของศัลยกรรมความงามเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางที่แพทย์จะต้องเรียนรู้อย่างแตกฉาน โดยมีความรู้พื้นฐานด้านศัลยกรรมตกแต่งมาเป็นอย่างดี แพทย์ที่ให้การรักษาจึงควรต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในตัว ข้อสำคัญต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง ศัลยแพทย์ความงามที่ดีควรให้ข้อมูลทั้งสองด้าน ไม่ใช่พูดแต่เรื่องดีๆ เพียงอย่างเดียว รวมถึงข้อจำกัดและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้

หรือในกรณีหมอพูดดูเลิศเลอ แต่แปลกๆ ยังไงชอบกล เช่น วิธีใหม่ในการเสริมจมูก ไม่ต้องผ่าตัด ฉีดสาร... เข้าไปเลย ไม่พอใจเราสามารถดูดออกมาได้หมด ฟังดูถ้าไม่คิดมากก็จะรู้สึกว่าเป็นวิธีที่เยี่ยมมาก แต่ถ้าคิดต่ออีกนิดหนึ่งคุณก็จะพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่จะดูดสารที่ฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วออกมาจนหมดอย่างง่ายดาย คิดง่ายๆ ว่าปูนกับทรายเมื่อผสมกันแล้ว คุณจะแยกแต่ทรายออกมาจากปูนได้หรือไม่ ลองคิดดูเอาเองแล้วกันนะครับว่าอยากได้หมอประเภทไหน

สถานที่ต้องใช่
ศัลยกรรมนะครับ ไม่ใช่ขายเครื่องสำอางที่จะทำแบบไหน ตรงไหนก็ได้ ขึ้นชื่อว่าศัลยกรรม เรื่องความสะอาดปลอดเชื้อต้องมาเป็นอันดับแรก สถานที่อุปกรณ์ต้องพร้อม ได้มาตรฐานเฉพาะทาง สถานที่ควรเป็นระเบียบ สะอาดและดูสวยงาม และถ้าพิถีพิถันมากกว่านั้นแอบดูห้องผ่าตัดสักนิด ห้องพักฟื้นเสียหน่อยคงไม่เสียหายอะไร

ดูโฆษณาได้ แต่ห้ามเชื่อทั้งหมด
คงต้องยอมรับว่าสื่อมีอิทธิพลต่อเราๆ ท่านๆ เป็นอย่างมาก ศัลยกรรมความงามเป็นอีกหนึ่งบริการที่ได้รับความนิยมค่อนข้้างสูง และมักได้รับการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ เป็นจำนวนมากทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณให้มากๆ ในการรับข้อมูลข่าวสาร เพราะบางครั้งสื่ออาจนำเสนอเพียงด้านเดียว ทางที่ดีควรสอบถามจากคนที่เคยไปใช้บริการมาก่อน หรือเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ ด้วย สุดท้ายถ้าอยากรู้จริงๆ ก็คงต้องเข้าไปคุยกับคุณหมอเองเลยจะดีที่สุดครับ

ไม่พร้อม ไม่แน่ใจ กลับมาตั้งต้นใหม่
อย่างที่บอกแต่แรกว่าศัลยกรรมเป็นเรื่องที่รอได้ ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าจะทำดีหรือไม่ หรือยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ควรกลับมาทบทวนใหม่อีกรอบ ถ้าข้อมูลไม่พอก็หาเพิ่ม คุยกับคุณหมอท่านนี้ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ก็ลองไปปรึกษาคุณหมอท่านอื่นดูได้ จากน้นค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นเวลาืั้ที่คุณพร้อมที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ

เพื่อป้องกันความผิดหวัง คงต้องใช้สุภาษิตของฝรั่งที่ว่า "ไปให้ถูกที่ ทำให้ถูกเวลาและใช้บริการให้ถูกคน" เพื่อความสวยที่ถูกใจและปลอดภัยในเวลาเดียวกันครับ

Q: ถ้าอยากรู้ว่าเป็นหมอศัลยกรรมตกแต่งหรือไม่ จะสอบถามได้ที่ไหน
A: คุณสามารถตรวจสอบรายชื่อคุณหมอ ได้ที่สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย โทร. 0-2716-6214






หงุดหงิด-กินจุ ก่อนเมนส์มา

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์เกือบทุกคน คงคุ้นเคยกับอาการทางร่างกายและจิตใจ ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงก่อนมีรอบเดือน บางคนเกิดช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนมีรอบเดือน บางคน 10 วัน ก่อนที่จะมีรอบเดือน

"เลือดจะไป ลมจะมา" ตามหลักการทำงานของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นเป็นวงจร วงจรละประมาณ 28-30 วันนั้น ทำให้เกิดผลทางร่างกายและอารมณ์หลายอย่าง ซึ่งโดยมากเป็นอาการทางจิตใจที่พบบ่อย คือ
  • หงุดหงิดง่าย รู้สึกไวต่อความรำคาญทุกชนิดอย่างที่ปกติไม่เคยรู้สึก ไม่ว่าจะกับเพื่อนร่วมงาน คนใกล้ชิด พนักงานเสิร์ฟอาหาร คนรับใช้ เพื่อนร่วมท้องถนน ฯลฯ
  • เครียด วิตกกังวลหลายเรื่อง บางครั้งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เอามานั่งคิดให้สมองทำงานหนัก โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ยิ่งคิดแล้วยิ่งหาทางออกไม่เจอ แต่กลับเจอปัญหาเพิ่มขึ้นอีก
  • เบื่อหน่าย ท้อแท้ เศร้า รู้สึกว่าชีวิตตีบตัน ไม่อยากทำอะไรๆ ที่เคยอยากทำ "ขี้เกียจ" เป็นคำที่ใช้รองรับอารมณ์นี้ แต่จริงๆ แล้วไม่อยากทำ คิดว่าทำไปก็ไม่รู้สึกสนุก ฯลฯ
สำหรับคุณผู้หญิงที่มีอาการดังกล่าวนานเกินสิบกว่าวันก่อนที่จะมีประจำเดือน ลองคำนวณดูจะพบว่าในเดือนเดือนหนึ่ง คุณจะมีช่วงปกติแค่เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น แล้วในช่วงชีวิตหนึ่งคงมีช่วงปกติแค่เพียงครึ่งชีวิต

แต่ไม่เป็นไร เพราะหลังอ่านคอลัมน์นี้จบ คุณจะรู้ว่ามันก็แค่การเปลี่ยนแปลงของสารเคมี และในเมื่อร่างกายนี้ ชีิวิตนี้ รวมทั้งอารมณ์ ความรู้สึกนี้ล้วนแต่เป็นของเรา (Feelings belong to us) ดังนั้น เราจึงมีความชอบธรรมที่จะควบคุม เปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้นได้

กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีรอบเดือน (Premenstrual Syndrome หรือ PMS) ประกอบด้วยอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดตามตัว แน่นท้อง เจ็บเต้านม หิวบ่อย กินจุ นอนไม่หลับ จมูกไวต่อการรับกลิ่น ส่วนอาการทางจิตใจและอารมณ์ เช่น หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้าไม่มีสาเหตุ อารมณ์แปรปรวน ทั้งหลายนี้รวมเรียกว่า Premenstrual Dysphoric Disorder หรือ PMDD

โดยพบว่า PMDD จะเกิดง่ายขึ้นถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น การดื่มกาแฟมากๆ การสูบบุหรี่ ความเครียด อายุที่มากขึ้น ภาวะขาดวิตามินและประวัติบุคคลในครอบครัวที่มีอาการ PMDD

วิธีป้องกัน ได้แก่
  • รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ไม่ขาดวิตามินและแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม (ได้จากการดื่มนม กินปลาเล็กปลาน้อยทั้งก้าง งา ผักใบเขียวเข้ม)
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด
  • หลีกเลี่ยงกาแฟ บุหรี่และสุรา
  • รักษาน้ำหนักไม่ให้อ้วน
เมื่อเกิดอาการขึ้นแล้ว วิธีการบำบัดรักษาพื้นฐาน ได้แก่
  • หลีกเลี่ยงของหวาน กาแฟ บุหรี่ สุรา รับประทานผักสด ผลไม้ ธัญพืช หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม นมสด หลีกเลี่ยงเนื้อแดง แนะนำให้รับประทานอาหารมื้อละน้อยๆ อย่ารับประทานครั้งละมากๆ
  • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา เพื่อป้องกันท้องอืด
  • ออกกำลังกายวันละ 30 นาที เบาๆ ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหนัก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด
  • ถ้าพบว่าอาการเป็นรุนแรงและรบกวนชีวิตประจำวันมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยการรับประทานยา
อย่าปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดช่วงก่อนมีประจำเืดือน มารบกวนความสุขในการใช้ชีวิตประจำวันของคุณเลยนะคะ



ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่างวัฒนธรรม

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

พื้นที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ ถูกแบ่งโดยอาศัยพิกัดซึ่งเป็นเส้นสมมติบนผิวโลก โดยสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เป็นผู้อาศัย แต่ในพื้นที่เดียวกันก็ยังมีมนุษย์อีกหลากหลายเชื้อชาติ ที่มีความเป็นอยู่ ค่านิยม ธรรมเนียม ประเพณีและวิธีคิดที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อต้องเดินทางไปยังที่ที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างไปจากที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว เพื่อศึกษาต่อหรือเพื่อประกอบอาชีพก็ตาม สิ่งที่ต้องเผชิญ คือ สภาพความแตกต่างในด้านต่างๆ ที่เห็นได้ชัด เช่น ภาษา ศาสนา ภูมิอากาศ อาหาร ระบบการทำงานและการศึกษา

นอกจากนี้ยังมีในส่วนที่แอบแฝงอยู่ในบริบททางสัคม (Social Contexts) อื่นๆ อีก เช่น
  • ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น นักเรียนกับครู ลูกน้องกับหัวหน้า
  • วิธีการคิด ทัศนคติต่อเหตุการณ์ต่างๆ
  • งานอดิเรกยามว่าง
  • การแสดงออกทางด้านอารมณ์ เช่น สีหน้า น้ำเสียง ท่าทาง
การที่ต้องเผชิญกับความแตกต่างเหล่านี้ ย่อมก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึุกบางอย่าง ซึ่งแต่ละบุคคลอาจไม่เหมือนกัน เช่น ความไม่มั่นใจในตัวเอง ความวิตกกังวลในความปลอดภัย ความไว้ใจในผู้อื่น ความรู้สึกโดดเดี่ยว ความหงุดหงิดง่าย ปัญหาในการกิน นอน ขับถ่าย ความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนเป็นอย่างมาก ซึ่งปฏิกิริยาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ แต่เป็นหนึ่งในกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพวัฒนธรรมใหม่

Culture Shock เป็นคำที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ของความวิตกกังวลและความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสภาพสังคม วัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างมาก ในบางครั้้งอาจรู้สึกขยะแขยง (Disgust) ในสภาวะของสังคมใหม่ ซึ่งสามารถจำแนก Culture Shock ออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
  1. Honeymoon Phase เกิดขึ้นขณะเพิ่งจะพบกับความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น สนุกสนาน สนใจสิ่งแวดล้อม
  2. Culture Shock Phase หรือ Negotiation Phase หลังจากช่วง Honeymoon เกิดขึ้น อาจเพียงสอง-สามวัน หลายสัปดาห์หรือหลายเดือนผ่านไป เริ่มมีความรู้สึกอึดอัดกับสังคมใหม่ กังวลในเรื่องความสะอาดมากกว่าปกติ รู้สึกว่าวัฒนธรรมใหม่นั้นไม่ดี ผู้คนไม่มีมารยาท น่ารังเกียจ จังหวะในการดำรงชีวิตเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเข้าสังคม เก็บตัว มีความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการกิน การนอน บางคนมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ
  3. Adjustment Phase เป็นช่วงที่เริ่มปรับตัวปรับใจให้เข้ากับวัฒนธรรม ไม่มีความรู้สึกอึดอัด ไม่คิดอคติ ยอมรับสิ่งใหม่ในแบบที่เป็นได้ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายใจ ช่วงนี้อาจใช้เวลาไม่กี่วันจนอาจนานถึงหลายเดือน
เมื่อสามารถปรัับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ได้เป็นอย่างดีแล้ว และต้องกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน บางคนอาจมีความรู้สึกแบบ Culture Shock ได้ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Reverse Culture Shock แต่พบว่าคนที่มีประสบการณ์การเดินทางบ่อยๆ จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอื่นได้ดีกว่าคนทั่วไป

เรามีคำแนะนำในการปฏิบัติตัว เมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ดังนี้
  • เตรียมศึกษาล่วงหน้าเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังจะไป วัฒนธรรม อาหาร ภูมิอากาศ ค่านิยม ลักษณะนิสัยของคนท้องถิ่น รวมทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ
  • เตรียมสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อมที่จะปรับตัวรับวัฒนธรรมที่แตกต่าง
  • ยอมรับปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ และสามารถหายได้
  • สังเกตและเรียนรู้การดำรงชีวิต การแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ จากคนท้องถิ่นและทดลองทำตาม
  • เปิดใจให้กว้าง ลดอคติ ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินสิ่งต่างๆ
  • พยายามเข้า่ร่วมกิจกรรมต่างๆ เท่าที่เป็นไปได้
  • มีอารมณ์ขันอยู่เสมอ แทนที่จะเครียด ขี้บ่น
  • กินอาหารที่ดี (ไม่จำเป็นต้องแพง) นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ไม่จำกัดตัวเองโดยการคบเฉพาะเพื่อนที่มาจากที่เดียวกับเรา
  • ติดต่อกับเพื่อนที่บ้านเกิด ครอบครัวบ้าง เพื่อลดความคิดถึงและความรู้สึกอยากกลับบ้าน

สิ่งสำคัญที่สุดที่มีผลให้การปรับตัวเป็นไปอย่างง่ายหรือยาก คือ ทัศนคติที่ว่าคนทุกชาติทุกภาษา ล้วนมีคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่มีวัฒนธรรมไหนที่ดีกว่า ถูกต้องกว่า เก่งกว่า และสิ่งที่แตกต่างไปจากตัวเอง ไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่ผิด แย่ หรือไม่ดีเสมอไป

ป่วยกาย อย่าป่วยใจ

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ยามเจ็บไข้ได้ป่วย คนส่วนใหญ่จะไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงการเจ็บป่วยทางกาย เนื่องจากกาย (ร่างกายที่เป็นส่วนของเนื้อ หนัง กระดูก อวัยวะต่างๆ) กับใจ (ซึ่งประกอบไปด้วยความคิดอ่าน ความจำ ความรู้สึก) มีผลต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา ทั้งยามหลับหรือยามตื่น ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว

ในบางครั้งเกิดขึ้นจากสาเหตุทางร่างกายก่อน แล้วส่งผลกระทบต่อจิตใจ เช่น โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อุบัติเหตุที่นำมาสู่การสูญเสียอวัยวะ โรคต่างๆ ที่มีอาการปวดเป็นหลัก เหล่านี้ย่้อมนำมาสู่ปฏิกิริยาตอบสนองทางจิตใจ อาจเป็นแค่ภาวะเครียดเพียงชั่วคราว แล้วสามารถทำใจยอมรับได้ หรืออาจรุนแรงเข้มข้นขึ้นถึงขั้นมีความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล เป็นต้น เมื่อมีสภาวะทางร่างกายที่ผิดไปจากปกติในเรื่องของ
  • Distress คือ ความไม่สบายกาย รู้สึกอึดอัด ปวด เมื่อยล้า อ่อนแรง
  • Disability คือ สภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติ
  • Disfiguring คือ การมีรูปร่างผิดไปจากปกติ
  • Immobility คือ สภาวะที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้







ขั้นแรกสุดนั้น จิตใจจะต้องมีการปรับสมดุลโดยการใช้กลไกทางจิตใจต่างๆ (Defense Mechanism) หรือที่เรียกว่า ปรับใจให้สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ โดยให้มีความอึดอัดเกิดขึ้นน้อยที่สุด แต่ถ้าการปรับใจเกิดขึ้นได้ไม่ดีพอ ก็จะนำไปสู่ความอึดอัด ความเครียด ความกังวลหรือความโกรธ คราวนี้นอกจากเจ็บป่วยทางกายแล้ว ก็ยังเจ็บป่วยทางใจอีกต่อหนึ่งด้วย ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ความเครียดทางจิตใจที่เกิดขึ้นนี้ ยังส่งผลทวีความเจ็บความปวดทางร่างกายให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

ความเป็นจริงของจิตใจเหล่านี้ มีน้อยคนที่จะตระหนักและรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของตัวเอง เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เมื่อยามที่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้มีสติ ตระหนักรู้เท่าทันร่างกายและจิตใจ ว่าการเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติล้วนๆ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) และไม่มีสิ่งใด ร่างกายใด อารมณ์ความรู้สึกใดที่จีรังยั่งยืน (อนิจจัง) การยึดติดในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ก็ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ใจ

เมื่อเจ็บป่วยก็ให้รู้ว่าเจ็บป่วย ดูแลตัวเอง รับการรักษาให้เหมาะสม และระวังอย่าปล่อยให้จิตใจป่วยตามร่างกายไปด้วยนะคะ

กลิ่นปาก

บทความโดย ทันตแพทย์อัครพล เล้าสุทธิพงศ์ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

หลายคนกลัวเรื่องกลิ่นปาก กลัวเพื่อนไม่อยากคุยด้วย กลัวเจ้านายเมินหน้าหนี ฯลฯ เรื่องที่คิดว่าเล็กนับวันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้เหมือนกัน เราจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ไปฟังกันครับ

สาเหตุของกลิ่นปากมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ

ปัจจัยภายในช่องปาก ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
  • ฟันผุ เกิดจากการที่เชื้อโรคสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) ที่อาศัยอยู่บนแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่ติดบนตัวฟัน ย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ส่งผลให้เกิดกรดแลคติกและอื่นๆ ที่ทำลายเนื้อฟันและผิวฟัน ทำให้เกิดเป็นหลุมและร่องลึก ถ้าฟันผุมากๆ ถึงขั้นทะลุโพรงประสาทฟัน ซึ่งทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อโพรงประสาทด้านใน จะส่งผลให้มีกลิ่นปาก ทั้งจากเนื้อฟันที่ตายและอาหารที่บูดหมักสะสมอยู่เป็นเวลานานในโพรงฟันที่ผุ
  • เหงือกอักเสบ สาเหตุใหญ่มาจากคราบจุลินทรีย์ที่สะสมอยู่ตามร่องเหงือก พอสะสมนานๆ น้ำลายซึ่งมีแร่ธาตุต่างๆ จะตกตะกอนทับลงไปบนบริเวณที่มีคราบจุลินทรีย์อยู่เดิมและจะเปลี่ยนเป็นหินปูน ยิ่งทิ้งไว้นานเหงือกจะอักเสบมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้จากเหงือกร่นและจะเห็นฟันซี่ยาวขึ้น มีอาการปวดตื้อๆ ที่เหงือก เคี้ยวอาหารแล้วจะรู้สึกปวดและฟันโยก
  • แปรงฟันไม่สะอาด ทำให้เกิดการตกค้างของเศษอาหาร เมื่อมีการบูดเน่าทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้
  • การสูบบุหรี่ ทำให้มีคราบนิโคตินจับเกาะอยู่บนคราบหินปูนบนเคลือบฟัน
  • มีเศษอาหารตกค้าง และเกิดการบูดเน่าในบริเวณที่มีฟันผุเป็นรูกว้าง
  • การใส่ฟันปลอมที่หลวม ไม่พอดีกับเหงือก หรือนอนโดยที่ไม่ถอดฟันปลอมออกมาแช่ อาจทำให้เกิดกลิ่นจากเศษอาหารเล็กๆ และจากการที่เชื้อจุลินทรีย์สะสมอยู่บริเวณผิวฟันปลอม
  • เกิดจากการทานอาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม กะปิ สะตอ ฯลฯ
  • มีแผลในช่องปาก ทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดฟันได้สะอาด
  • ฟันซ้อน เก หรือฟันคุด ทำให้ทำความสะอาดฟันได้อย่างไม่ทั่วถึง
  • การจัดฟัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างทั่วถึง
  • การครอบฟันที่ไม่พอดี อาจทำให้เกิดการตกค้างของเศษอาหาร
  • ผู้ที่เพิ่งถอนฟัน ทำให้ทำความสะอาดฟันได้อย่างไม่ทั่งถึง และแบคทีเีรียที่อยู่ในปากมาย่อยสลายลิ่มเลือด ทำให้เกิดกลิ่นได้
สาเหตุภายนอกช่องปาก
เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุเช่นกัน เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคในระบบทางเดินอาหาร หวัด ท้องผูก โรคกระเพาะอาหาร ฯล








ถ้ามีปัญหาเรื่องช่องปาก ควรจะทำ
อย่างไรดี
สิ่งแรกที่ควรทราบ คือ ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจจะไปทำลายเชื้อโรคตัวอื่นๆ ที่ดีในช่องปาก ถ้าพบว่าเรามีกลิ่นปาก ควรแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน เช่น ใช้ไหมขัดฟัน ควรใช้ไหมขัดฟันเป็นอย่างยิ่ง เพราะการแปรงฟันปกติไม่สามารถทำความสะอาดเศษอาหารที่ติดอยู่ระหว่างซอกฟันได้

การแปรงลิ้นช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นปากได้ เนื่องจากด้านบนของลิ้นผิวไม่เรียบ ซึ่งบริเวณนี้จะเกิดการสะสมของกลิ่นได้ง่าย

ควรดื่มน้ำบ่อยๆ และควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากและแก้ปัญหาให้ก่อนที่จะลุกลามไป เช่น กำจัดคราบหินปูนก่อนที่จะเกิดฟันผุ

มีก้อนที่เต้านม ทำอย่างไรดี

หญิงสาวที่อายุยังน้อย...วัย 10 กว่า หรือ 20 กว่าปี เมื่อพบก้อนที่เต้านม มักจะรู้สึกอายหมอ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะได้ยินเรื่องมะเร็งเต้านมบ่อยๆ ใช่ไหมคะ ถ้าอยากรู้ว่าก้อนเนื้อนี้อันตรายมากน้อยแค่ไหน และจะมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง ไปฟังคำตอบจากคุณหมอกันค่ะ

เนื้องอกเต้านมชนิดธรรมดา พบได้บ่อยในหญิงสาว
รศ.นพ. อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่าจากข้อมูลทางสถิติ พบว่าก้อนเนื้อในเต้านมหญิงสาวส่วนใหญ่เป็นเนื้องอกเต้านมชนิดธรรมดา ซึ่งมีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า ไฟโบรแอดิโนมา (Fibroadenoma) ลักษณะของก้อนที่พบมักจะเป็นก้อนเพียงก้อนเดียว (มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่พบหลายก้อน)

ก้อนที่พบมักจะไม่เจ็บ ขอบเขตกลมเรียบคล้ายลูกชิ้น กลิ้งไปมาได้ การเปลี่ยนแปลงของก้อนมักจะเป็นไปอย่างช้าๆ คือ โตขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายๆ เดือนก็ตาม พบได้ตั้งแต่ก้อนเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร

เป็นโรคอื่นได้หรือไม่
โรคอื่นๆ ที่พบในหญิงสาวแต่ไม่บ่อยเท่า ได้แก่ ซีสเต้านม (Fibrocystic Change) และมะเร็งเต้านม ซึ่งทั้ง 2 โรคจะมีลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากเนื้องอกธรรมดา คือ ซีสเต้านมมักจะโตขึ้นเมื่อใกล้รอบเดือน แต่จะเล็กลงหลังจากรอบเดือนมาแล้ว ขณะที่มะเร็งเต้านมจะโตขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาอันสั้น

จะพิสูจน์อย่างไร ว่าเป็นเนื้องอกเต้านมชนิดไม่ร้าย
การตรวจเพิ่มเติมที่จะช่วยในการยืนยันว่าเป็นเนื้องอกเต้านมชนิดธรรมดา ได้แก่ การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ซึ่งจะเห็นเป็นลักษณะก้อนเนื้อที่มีขอบเขตชัดเจน และการใช้เข็มขนาดเล็กเจาะนำเซลล์ไปตรวจ (Fine Needle Aspiration) ทั้งสองวิธีร่วมกับลักษณะอาการและการตรวจร่างกาย ก็จะบอกได้ค่อนข้างแน่นอนว่า ก้อนที่ตรวจพบเป็นเนื้องอกธรรมดา

รักษาอย่างไร
ก้อนเนื้องอกธรรมดาของเต้านมมักจะไม่หายเอง ดังนั้นจึงต้องผ่าตัดออก แพทย์มักจะแนะนำให้ผ่าตัดออกตั้งแต่เมื่อก้อนนั้นยังไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะจะได้ไม่ต้องเกิดแผลจากการผ่าตัดขนาดใหญ่ มักจะใช้การผ่าตัดโดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ การผ่าตัดนั้นไม่ใช่การผ่าตัดที่เร่งด่วน สามารถนัดวันเวลาที่แพทย์และผู้ป่วยมีความพร้อมได้

ในกรณีที่ก้อนนั้นมีขนาดใหญ่มาก อาจต้องผ่าตัดโดยการวางยาสลบ ในปัจจุบันมีเทคนิคที่สามารถผ่าตัดก้อนเนื้องอกเต้านมชนิดธรรมดาที่มีขนาดใหญ่ ให้มีแผลขนาดเล็กแค่ 2-3 เซนติเมตร

ผ่าตัดแล้วหายหรือไม่
ก้อนเนื้องอกเต้านม เมื่อผ่าตัดออกแล้วก้อนนั้นก็หายไป มีโอกาสที่จะเกิดโรคเป็นซ้ำที่เดิมหรือมีก้อนขึ้นที่อื่นอีกประมาณร้อยละ 5 ของผู้ที่เป็นเนื้องอกเต้านมชนิดธรรมดา

จะกลายเป็นมะเร็งหรือไม่
ยังไม่พบรายงานว่าหากทิ้งก้อนเนื้องอกเต้านมชนิดธรรมดาไว้จะกลายเป็นมะเร็ง แต่หากก้อนนี้พบในผู้สูงอายุอาจเป็นก้อนที่เป็นมะเร็งได้ ดังนั้น หากก้อนโตขึ้นควรได้รับการผ่าตัดออก หากยังไม่อยากผ่าตัดออก ควรมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงของก้อนเนื้อนี้เป็นระยะๆ สาวๆ รู้อย่างนี้แล้ว รีบสำรวจตัวเองเป็นการด่วน จะได้หาทางป้องกันแต่เนิ่นๆ ค่ะ

ก้อนที่เต้านม ไม่เจ็บ ยิ่งน่ากลัว
สาเหตุที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์เกี่ยวเนื่องกับโรคของเต้านมนั้น อันดับหนึ่ง ได้แก่ ก้อนที่เต้านม และรองลงมาคือ อาการเจ็บเต้านม ผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อมีอาการเจ็บเต้านม มักจะเริ่มสังเกตและคลำที่เต้านม ส่วนหนึ่งจะพบก้อนร่วมด้วย อีกส่วนหนึ่งไม่พบก้อนหรือไม่แน่ใจ แต่มักจะลงเอยด้วยการพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งมักจะมาพบแพทย์ค่อนข้างเร็ว ผิดกับผู้ที่มีก้อนที่เต้านม คลำได้แต่ไม่รู้สึกเจ็บ มักจะปล่อยเอาไว้เพราะคิดว่าไม่เป็นไร

ในบรรดาก้อนที่พบที่เต้านมนั้น มีโรคกลุ่มหลักๆ อยู่ 3 กลุ่ม คือ ซีสเต้านม เนื้องอกเต้านม (ไม่ร้าย) และมะเร็งเต้านม ซีสที่เต้านมจะมีการเปลี่ยนแปลงตามรอบเดือน โตก่อนรอบเดือนมาและเล็กลงหลังรอบเดือนมาแล้ว ส่นใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มีซีสมักจะเจ็บที่ก้อน ซึ่งผิดกับกลุ่มเนื้องอกหรือมะเร็งซึ่งมักจะไม่ค่อยเจ็บ พบว่าร้อนละ 90 ของคนที่เป็นมะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกจะมีแต่ก้อน ไม่มีอาการเจ็บ ผู้หญิงหลายๆ คนมีความเข้าใจผิด คิดว่าก้อนที่ไม่เจ็บคงไม่เป็นไร และปล่อยทิ้งไว้จนกระทั่งก้อนมะเร็งใหญ่โตขึ้นมากแล้วจึงรู้สึกเจ็บได้

ในผู้หญิงที่พบก้อนที่เต้านมตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ในหญิงที่อายุมากกว่า 50 ปี หากพบก้อนที่เต้านม มีโอกาสจะเป็นมะเร็งเต้านมถึงร้อยละ 50

การพบก้อนที่เต้านมร่วมก้ีบการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของหัวนม หรือมีเลือดออกที่หัวนม หรือมีก้อนที่รักแร้ เป็นอาการเบื้องต้นที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งเต้านมได้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ดังนั้น หากพบก้อนที่เต้านม ไม่ว่าก้อนนั้นจะเจ็บหรือไม่ก็ตาม ควรพบแพทย์ตรวจ ไม่ควรนิ่งนอนใจ

มดลูกอักเสบ...น่ากลัวไหมนะ

บทความโดย นพ.ก้องศาสดิ์ ดีนิรันดร์

มดลูกอักเสบ โรคนี้คุณๆ อาจได้ยินบ่อยๆ จนคุ้นหู ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้หญิงอายุระหว่าง 15-45 ปี เกิดจากการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease) คือ การอักเสบแบบเฉียบพลันในบริเวณมดลูกและอาจแพร่กระจายไปสู่บริเวณช่องท้องได้ โรคนี้อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับเป็นการติดเชื้อในบริเวณใด
  • ถ้าติดเชื้อและเกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก ก็จะเรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ
  • ถ้าติดเชื้อที่ปีกมดลูก จะเรียกว่า ปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis) คือ การติดเชื้อและเกิดการอักเสบขึ้นในบริเวณปีกมดลูก







สังเกตตัวเองถ้า...
  • มีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ซึ่งอาการไข้จะเกิดขึ้นพร้อมหรือใกล้เคียงกับอาการปวดท้องน้อย
  • ปวดท้องน้อย ส่วนใหญ่มักเริ่มปวดก่อนและหลังมีประจำดือน (ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 14 วันหลังมีประจำเดือน) เป็นอาการปวดหน่วงตลอดเวลาร่วมกับปวดเกร็งเป็นระยะ และจะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย แสดงว่าโรคได้ลามไปถึงเยื่อยุช่องท้องแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ อาจะเป็นอันตรายได้
  • ตกขาวมีกลิ่น
สาเหตุ
มักเกิดจากการติดเชื้อในบริเวณอวัยวะเพศ และเกิดการอักเสบแล้วลามขึ้นมายังส่วนบน โดยแบ่งออกเป็น
  • การติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นเชื้อหนองใน (Neisseria Gonorrhoea) และเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia Trachomatis) ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่ชอบเที่ยวและมีคู่นอนหลายคน
  • ภาวะขาดสมดุลของสิ่งแวดล้อมในช่องคลอด เช่น มีเลือดออกในช่องคลอดเรื้อรัง การบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย เช่น Peptococci, Peptostreptococci, Gardnerella Vaginalis และอื่นๆ
  • การติดเชื้อหลังคลอด (Pueperai Infectin) มักเกิดจากการกระตุ้นเชื้อที่มีอยู่แล้วในช่องคลอด อย่างเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส และเชื้อสเตรปโตค็อกคัสจนเกิดเป็นโรค โดยมักมาจากการคลอดที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น โลหิตจาง คลอดยาก การบาดเจ็บ เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ ถุงน้ำคร่ำแตกรั่วอยู่นานก่อนคลอด ฯลฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • การทำแท้ง หากไม่ได้ทำอย่างสะอาดอาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้น และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้

ใครที่เสี่ยงต่อโรคนี้
  • ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ หญิงบริการ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่เสี่ยงต่อการมีโรคหนองในหรือหนองในเทียม
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย เนื่องจากมีภูมิป้องกันตัวเองต่ำ และมูกของปากมดลูกยังไม่สามารถป้องกันการลุกลามของเชื้อแบคทีเรียได้ดีพอ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน หรือในช่วงหลังคลอดได้ไม่นาน เนื่องจากในช่วงนี้ สภาพของมดลูกยังไม่มีกลไกในการป้องกันการติดเชื้อได้ดีพอ จึงอาจทำให้ติดเชื้อและเกิดการลุกลามได้
  • ผู้ที่ใช้การคุมกำเนิดแบบห่วงอนามัย
  • ผู้ที่สวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ เนื่องจากการสวนล้างช่องคลอดทำให้เสียภาวะสมดุลของเชื้อโรคตัวที่ควรจะมีในช่องคลอดและบริเวณมดลูกไป ปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค

แนวทางป้องกัน
  • งดการร่วมเพศกับผู้ที่มีความเสี่ยง
  • หลังการคลอดบุตร ขูดมดลูกหรือแท้งบุตร ควรงดการร่วมเพศหรือสวนล้างช่องคลอดเป็นเวลา 6 อาทิตย์
  • ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองใน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ก่อนที่จะลุกลามไปมากขึ้นจนกลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ
  • ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ

วิธีการรักษา
ถ้าดูตามอาการแล้วสงสัยว่าอาจจะเป็นมดลูกอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันการลุกลามไปส่วนอื่น ถ้าถึงขั้นมีไข้สูง กดแล้วเจ็บ หรือปวดบริเวณท้องน้อย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจรักษาดังนี้
  • ตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจเม็ดเลือดขาว
  • นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ หรืออัลตราซาวด์
ผู้ป่วยอาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งจะต้องดูตามอาการของผู้ป่วย เช่น การให้ยาแก้ปวด การลดไข้ การให้น้ำเกลือ และอาจต้องให้เลือดถ้าผู้ป่วยมีอาการซีด และต้องให้ยา

รู้จักเรื่องเครียดๆ ของความเครียด

บทความโดย นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

เริ่มต้นปีใหม่ ยังมีเรื่องคาใจที่เกี่ยวกับบ้านเมืองของเราที่กำลังประสบปัญหารอบด้าน ทั้งภายในและภายนอกรวมถึงนอกภูมิภาคด้วย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระดับโลก เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ที่สามารถเข้ามารุมเร้าจิตใจจนเกิดความเครียดขึ้น

คำว่า "เครียด" จึงเป็นคำที่ถึงแม้จะพูดกันอยู่แทบทุกวัน แต่ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาให้พูดบ่อยขึ้นและมีคนสนใจกันมากขึ้น เพราะส่งผลกระทบแทบจะทุกคนแล้ว หลายคนมักจะเข้าใจว่าความเครียดเป็นโรคอย่างหนึ่ง และบางที่ใช้คำว่า "โรคเครียด" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด เพราะความเครียดไม่ใช่โรค หากแต่ความเครียดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่จำเพาะของร่างกายต่อสิ่งใดๆ ที่มาเรียกร้องต่อมัน

ความเครียดเกิดจากอะไร
ความเครียดมาจากหลายแหล่ง ซึ่งอาจมาจากภายนอกหรือภายในร่างกายเองก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่เป็นต้นตอของความเครียด ก็คือ การไม่สมหวังในสิ่งที่คาดหวังไว้ การมีชีวิตอยู่บนความหวัง (Epectation) จะทำให้ทุกข์ได้ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง (Hopeful) ซึ่งประเด็นหลังมักจะไม่มีเงื่อนไขของการได้รับผลตอบแทนเท่ากับความคาดหวัง เมื่อเกิดปัญหาจากการที่ไม่สมหวังแล้ว ปฏิกิริยาของจิตใจคนเราก็จะนำไปสู่ความทุกข์ใจ (Suffering) ตามมาได้ จนอาจจะนำไปสู่ภาวะวิกฤติได้

ผลกระทบของความเครียด
ความเครียดไม่ใช่โรคภัยโดยตัวของมันเอง แต่อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยได้มากมายหลายอย่าง ทั้งทางกายและทางจิต

เมื่อร่างกายเผชิญความเครียดจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในด้านสรีรวิทยา และการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนและสารเคมีบางอย่าง ระยะสั้นก็คือ การเตรียมพร้อมเื่พื่อการต่อสู้หรือการหนีจากภยันตราย เป็นการรักษาตัวเพื่อความอยู่รอด หากเผชิญความเครียดที่รุนแรงหรือยาวนานเกินไปก็กลายเป็นโทษต่อร่างกายได้ เช่น อาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ในที่สุด เนื่องจากทำให้เกิดความแปรปรวนของระบบสารสื่อประสาทในสมองได้ โรคทางกายที่สัมพันธ์กับความเครียดมีหลายโรค เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ความดันเลือดสูง แผลในกระเพาะอาหาร แผลในลำไส้ใหญ่ ท้องร่วง หอบหืด คันตามผิวหนัง อาการปวดศีรษะ (ที่พบบ่อย คือ ไมเกรน) ฯลฯ

สำหรับโรคทางจิตเวชที่มีความสัมพันธ์กับความเครียด เช่น โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคซึมเศร้า โรคจิต โรคอารมณ์แปรปรวน ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้ผู้ป่วยมักมีอาการเครียดร่วมด้วยเสมอ และความเครียดเองก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้หรือดีขึ้นแล้วอาจจะกลับมาป่วยใหม่ได้อย่างมาก

การจัดการกับความเครียด
มีวิธีจัดการกับความเครียดมากมาย ซึ่งมีทั้งง่าย ทั้งยาก หลากหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่มักเป็นวิธีที่เกิดจากการแก้ที่ปลายเหตุมากกว่า วิธีจัดการกับความเครียดที่ดีที่สุด คือ การค้นหาสาเหตุของความเครียดให้เจอว่าเกิดจากอะไรแน่ ส่วนใหญ่มักเกิดจากปัญหาภายในจิตใจของคนคนนั้นเสียมากกว่า การไม่สามารถทำใจได้กับความสูญเสีย การไม่สามารถจัดการกับความอยากมีอยากได้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน








วิธีการที่น่าจะเป็นผลดีที่สุด คือ การตระหนักรู้และเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา และการมีความยืดหยุ่นให้กับชีวิตบ้าง อย่าให้ชีวิตต้องมีความสุขเพราะตนเองมีความเพรียบพร้อม ถ้าไม่ได้ก็จะเครียด ถ้าคิดแค่นี้รับรองว่าคงต่อสู้กับกิเลสตัณหาของการเป็นมนุษย์ที่หาวันสิ้นสุดไม่ได้ พยายามให้เวลากับการดูแลสุขภาพของตนเองทั้งสุขภาพกายและใจ รวมทั้งแบ่งปันความสุข ความปรารถนาดีให้กับคนที่อยู่รอบข้างด้วย หัดเรียนรู้ว่าการแสวงหาความสุขมิใช่มาจากการได้เพียงอย่างเดียว การให้ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้มีความสุขได้รวดเร็วกว่า

ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิตเราทุกคน ไม่มีใครหลีกหนีความเครียดไปได้ การปราศจากชีวิตเท่านั้นที่ทำให้หมดความเครียดลงได้ ในความเป็นจริงแล้ว ความเครียดเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คนมีความกระตือรือร้น และทำให้โลกมีการพัฒนาต่อไป

เราคงต้องอยู่กับความเครียดต่อไป เหมือนอยู่กับเชื้อโรค เช่น ไวรัส แบคทีเรีย ที่อยู่รอบๆ ตัวเราและในตัวเรา ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อเรา ยกเว้นบางครั้งบางคราที่เกิดการเสียสมดุลเท่านั้นเอง ที่ความเครียดทำให้เกิดโรคขึ้นมา

หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่มีความเครียดมากจนไม่สามารถจะปรับใจให้คิดในทางบวกได้ และส่งผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงต่อสุขภาพจิตแล้ว ก็ควรหาทางมาปรึกษากับบุคลากรทางด้านการดูแลสุขภาพจิต ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยได้เป็นอย่างดี

เติมใจให้เต็มด้วย...

บทความโดย พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ในยุคนี้ ชั่วโมงนี้ คงไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ได้รู้จักสิ่งที่มีชื่อเรียกว่า แอคเซสซอรีส์ (Accessories) ฟังดูคล้ายคลึงกับคำว่า Necessary ที่แปลว่า "จำเป็น" แต่ว่าความหมายต่างกันจนแทบจะตรงกันข้ามก็ว่าได้ ถึงจะไม่มี ก็ใช่ว่าจะเดือดร้อนแต่อย่างใด

หมวดหมู่สินค้าประเภทเครื่องแต่งกายชาย หญิง มีกลุ่มสินค้าที่เรียกว่า Accessories
หมวดหมู่สินค้าประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ มีกลุ่มสินค้าที่เรียกว่า Accessories
แม้กระทั่งหมวดหมู่คอมพิวเตอร์ Desktop Notebook Netbook เครื่องเล่น mp3 โทรศัพท์มือถือ ก็ยังมี Accessories
โถสุขภัณฑ์มี Accessories เป็นอุปกรณ์ช่วยในการชำระสิ่งซึ่งสกปรกของผู้ใช้ด้วยพลังแห่งลม ความร้อนและน้ำ
ในความหมายและประโยชน์ที่ได้รับจากสิ่งซึ่งเป็นตัวเสริมเหล่านี้ มักเป็นไปเพื่อให้เกิดการใช้งานไปในทางที่ดีขึ้น สะดวกรวดเร็วขึ้นหรือสวยงามมากกว่าเดิม

ลองมองกลับมาที่สิ่งซึ่งใกล้ตัวมากที่สุด คือ จิตใจ หากสมมติว่าจะเพิ่ม Accessories ให้แก่จิตใจ เพื่อให้เกิดความสุข ความสงบและพัฒนาระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาในชาจินี้แล้ว อุปกรณ์เสริมที่ควรเลือกสรรมาประดับจิตใจให้สวยงามขึ้น คงจะได้แก่
  • การมองโลกในแง่บวก บนพื้นฐานของความจริง
  • ความรู้สึกหวังดี ประสงค์ดีต่อผู้อื่น
  • ความมีน้ำใจ รู้จักการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน
  • การเคารพในความเป็นคน ไม่ว่าจะต่างชนชั้น เผ่าพันธุ์
เมื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมข้างต้นให้กับจิตใจแล้ว สิ่งที่เกิดตามมาโดยอัตโนมัติ คือ การแสดงออกที่ดี ทั้งการพูดและการกระทำ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น โดยสรุป คือ คิดดี พูดดี ทำดี (Attitude-Feeling-Behavior)

สังคมที่ดีเกิดจากหน่วยเล็กๆ ของสังคมที่ดี เมื่อผู้อื่นกระทำดีต่อเรา เราย่อมรู้สึกดีและมีทัศนคติในทางที่ดีต่อเขา (Behavior-Feeling-Attitude) และได้เป็นแบบอย่างที่ดีกับเยาวชน ผู้ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ

ใบไม้ร่วงใบเดียว ยังสะเทือนไปถึงดวงดาวได้ ขึ้นปีใหม่แล้ว ถือโอกาสให้ของขวัญกับจิตใจของตัวเอง น่าจะเป็นการเริ่มต้นของปีที่ดีกว่าเดิม

อยากผอมสวย ฟังทางนี้

บทความโดย คุณกินรี ดาร์ริงตัน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

สาวๆ ส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากมีแขนเรียวสวย ขาเรียวกระชับ หน้าท้องแบนราบ รูปร่างฟิต แอนด์ เฟิร์ม ฟังๆ ดูแล้วเหมือนทำยาก เรื่องการควบคุมอาหารก็สำคัญ การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่สิ่งที่เราไม่ค่อยพูดถึงกันและมีความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ คือ "จิตใจ" ค่ะ

วันก่อนแผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 ได้จัดงาน "fit & firm" โดยมีนักจิตวิทยาประจำโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 คุณชวนพิศ ยงยิ่งยืน มาให้ข้อคิดกับสาวๆ และหนุ่มๆ ที่อยากหุ่นดี เพราะเรารู้ว่าแต่ละคนก็มีสาเหตุที่ทำให้จิตใจไม่ "ฟิต" พอที่จะไปออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา เห็นของอร่อยแล้วอดใจไม่ได้ ขาดแรงจูงใจ ต้องการกำลังใจ ดังนั้น เราจึงมีเคล็ดลับเพื่อปรับวิธีคิดที่เหมาะกับคนแต่ละกลุ่ม ดังนี้

กลุ่มไม่มีเวลา
เวลาออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ ตอนเช้า ช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย เป็นช่วงที่ออกซิเจนถูกคายออกมาจากต้นไม้ใบหญ้ารอบตัว แต่คุณมักบอกตัวเองว่า "ไม่มีเวลา"

ดิฉันแนะนำให้คุณมองหา "ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับคุณจากการไม่ออกกำลังกาย" มองเป็นแง่ลบเข้าไว้ หาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต "ถ้าไม่ทำ อาจเป็นความดันสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน แล้วในที่สุดอาจต้องกลายเป็นโรคอัมพาต ที่ได้แต่นอนนิ่งอยู่กับเตียง ได้แต่มองคนรอบข้าง หูได้ยินแต่ก็พูดไม่ได้ แค่เดินลุกเข้าห้องน้ำเองยังทำไม่ได้"

กลุ่มเห็นของอร่อยแ้ล้วอดใจไม่ได้
ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มนี้ คุณควรมองทั้งในแง่บวกและลบ การมองในแง่ลบ กินเข้าไปแล้วจะอ้วนขึ้นอีก แล้วต้องเหนื่อยกับการออกกำลังกายมากกว่าทุกวัน แค่จ็อกกิ้ง 3 กิโลเมตรก็เหนื่อยแล้ว กินชิ้นนี้เข้าไปเคี้ยวไม่ถึง 3 นาที แต่ต้องวิ่งเพิ่มอีกตั้ง 1.5 กิโลเมตร! การมองในแง่บวก โชคดีจังที่ถึงแม้จะกำลังไดเอ็ท แต่เราก็ได้กิน ไม่อด ไม่โหยหาของกินที่อยากกินมานาน เค้กเจ้าอร่อย ขาหมูขึ้นชื่อ ไอศกรีมของโปรด แต่คุณควรกินแค่รู้รส แค่ 2-3 คำก็พอแล้ว ค่อยๆ เคี้ยวให้ซึมซาบทุกรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เคี้ยวนานๆ ประมาณ 30-50 ครั้ง

การเคี้ยวนานๆ นอกจากจะทำให้ได้เข้าถึงทุกรสชาติในอาหารจานนั้นแล้ว จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น โดยที่เราเพิ่งทานข้าวไปได้แค่ครึ่งจานเอง เนื่องจากต่อมที่อยู่ศูนย์กลางสมอง (Hypothalamus) ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากตับและกระเพาะอาหาร เมื่อได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายครบแล้ว จะส่งข้อมูลกลับเพื่อบอกว่าอิ่มแล้ว รวมทั้งการเคี้ยวอาหารให้ละเอีียดทำใำห้อาหารถูกดูดซึมได้ง่ายและเร็ว ซึ่งทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น








กลุ่มขาดแรงจูงใจ

ให้หาเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ดูรูปเก่าๆ แล้วบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเราต้องกลับมามีหุ่นแบบนี้ให้ได้อย่างแน่นอน ให้ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน เช่น จะลดน้ำหนักให้ลงไป 5 กิโลกรัมภายในปีหน้า แล้วแบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้นเป็นช่วงๆ เช่น เดือนละครึ่งกิโลกรัม แล้วให้รางวัลกับตัวเอง เช่น ซื้อกระโปรง กางเกงใหม่ที่อยากได้แต่ไม่เคยใส่ได้

กลุ่มขาดกำลังใจ
สร้่างกำลังใจให้ตัวเอง เช่น ดูคนที่อ้วนกว่า แล้วบอกกับตัวเองตอนนี้เราก็ผอมกว่าเขา เปรียบเทียบเป็นช่วงสั้นๆ เช่น ถ้าลดน้ำหนักลงได้แล้วก็บอกกับตัวเองว่า เราลดน้ำหนักได้แล้ว ให้กำลังใจตัวเองทุกครั้งที่ทำสำเร็จ

ให้เขียนบันทึกไว้ในกระดาษ ชมตัวเอง บอกถึงความรู้สึกดีใจ ประทับใจที่เราทำให้ถึงเป้าหมายในระยะสั้นๆ และเพราะอะไรเราถึงทำในสิ่งที่เราตั้งใจไว้ได้สำเร็จ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ให้เขียนถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นที่ทำให้ทำไม่ถึงเป้าหมาย หรือมีการทำโทษตัวเองเล็กน้อย ให้อ่านก่อนนอนและดูภาพที่ฝันไว้ก่อนนอน ซึ่งจะเป็นการปลูกจิตใต้สำนึก (Subconscious) ตัวเอง

หากำลังใจจากคนรอบข้าง เมื่อน้ำหนักเริ่มลดลงจะได้รับคำชมจากคนรอบข้าง ให้จดบันทึกเอาไว้แล้วกลับมาอ่านซ้ำๆ คำชมเหล่านี้เอามาบันทึกไว้ให้หมด และเหมือนเดิมค่ะ เอามาอ่านก่อนนอนค่ะ

ลองเริ่มจากวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่ตรงกับจริตของคุณดูนะคะ แต่ที่แน่ๆ สุขภาพของคุณน่าจะดีขึ้นด้วยค่ะ



รู้จักอารมณ์ใคร่ เข้าใจอารมณ์รัก

บทความโดย นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

เมื่อเดือนแห่งความรักที่ใครหลายคนก็รู้จักมาเยือนอีกครั้ง แต่บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินว่า เรื่องรักเรื่องใคร่ที่น่าจะทำให้มีความสุข กลับกลายเป็นเทศกาลแห่งความห่วงใย

อะไรทำให้คนที่เป็นผู้ใหญ่ เช่น พ่อ แม่ ผู้ปกครอง รู้สึกเกิดความวิตกกังวลเช่นนั้น การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ้นในวัยรุ่น นอกจากเกี่ยวกับลักษณะทางเพศแล้ว สิ่งที่ตามมาอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องอารมณ์ ไม่เฉพาะอารมณ์หรือความรู้สึกทางเพศเท่านั้น แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดต่างๆ ที่ค่อนข้างอ่อนไหว และมีความแปรปรวนง่าย ทำให้เกิดความเป็นห่วง และที่น่าเป็นห่วง คือ การใช้ sex เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องการยอมรับด้วยเช่นกัน จนบางครั้งทำให้กลายเป็นเหยื่อทางเพศตามมาได้

รู้จักวัยแห่งความอยากรู้และอยากลอง
ความอยากรู้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นก็อยากรู้เช่นกัน มีเรื่องราวมากมายที่วัยรุ่นอยากรู้ แต่ที่ขาดเสียมิได้ คือ เรื่อง sex จากการสำรวจพฤติกรรมวัยรุ่น พบว่าพวกเขาให้ความสนใจเรื่อง sex ไม่น้อยเลย และเป็นอันดับต้นๆ ที่ผู้ใหญ่ควรหันมาใส่ใจ เพราะวัยรุ่นมักเป็นวัยที่ชอบลอง ถูกบ้างผิดบ้างปะปนกันไป วัยรุ่นสมัยนี้มีพฤติกรรมทางเพศที่รวดเร็วและเก่งกล้า (มิใช่เล่น) และมิใช่เฉพาะวัยรุ่นชายเท่านั้น บางรายพบว่าวัยรุ่นหญิงเองก็มีบทบาทไม่น้อยเลยทางด้านการก่อให้เกิดปัญหาทาง sex

มีการสำรวจในกรุงเทพมหานคร พบว่าวัยรุ่นชายเริ่มมี sex ครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ย 16.67 ปี ส่วนวัยรุ่นหญิงเริ่มมี sex ครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ย 17.93 ปี (ซึ่งมีแนวโน้มของอายุจะลดลงเรื่อยๆ ในทั้งสองเพศ) และบุคคลที่มี sex ครั้งแรกนั้น ประมาณร้อยละ 70 มีกับแฟน รองลงมาร้อยละ 13 มีกับเพื่อนร่วมโรงเรียนหรือสถาบัน และใช้ถุงยางอนามัยเพียง 19.7 เปอร์เซ็นต์ สถานการณ์ที่ผลักดันให้มี sex มากที่สุดร้อยละ 72 คือ ความใกล้ชิดและการดูจากสื่อลามก และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น ฝ่ายชายมักจะถูกตำหนิและลงโทษเสียมากกว่า

จากการสัมภาษณ์วัยรุ่นชายที่ก่อคดีอาชญากรรมทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นอนาจาร ข่มขืนกระทำชำเรา รวมถึงการทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตและถูกควบคุมอยู่ในสถานพินิจ และฝ่ายหญิงไม่ว่าจะเป็นเจ้าตัวหรือผู้ปกครองออกมาฟ้องร้องจนเป็นข่าวดังๆ มากมาย พบว่าเบื้องหลังเรื่องราวเหล่านั้น วัยรุ่นหญิงเองก็มีพฤติกรรมที่ส่อหรือส่งเสริมให้เิกิดการกระทำผิดของอีกฝ่ายด้วย เช่น การแต่งตัวโป๊มาก จนวัยรุ่นชายที่อยู่ในวัยกำหนัดหักห้ามใจไม่ไหว หรือวัยรุ่นหญิงบางรายก็มีประวัติผ่านการมี sex กับผู้ชายมาหลายคน แต่รายนี้ผู้ปกครองเกิดจะเอาเรื่องขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ซึ่งสุดท้ายด้วยวัยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รักสนุก ขาดความยั้งคิด (ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นต้องการการชี้แนะที่ถูกต้องจากผู้ใหญ่ แต่แทบไม่มีใครใส่ใจตรงนี้เลย) สุดท้ายก็นำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ มากมาย

อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่เคยผ่านมาคงจะพอเดาได้ว่าทำไม หรือเหตุผลใดที่อยากลอง เหตุผลต่างๆ ที่สนับสนุนให้อยากลองในช่วงวัยรุ่น คือ
  • เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น (รู้สึกตื่นเต้น) ต้องทดสอบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ว่าเป็นอย่างไร
  • เพื่อนที่เคยผ่านมาก่อนเรา เคยเล่าหรือแนะนำให้ลองทำตาม หรือการรับรู้ผ่านทางสื่อที่มีอยู่่มากมายนับไม่ถ้วน
  • อารมณ์หรือฮอร์โมนเพศเป็นตัวนำพา รวมถึงการถูกกระตุ้นจากฝ่ายตรงข้ามที่มากเกินไปด้วย
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นและการดูแลที่เหมาะสม ทำให้วัยรุ่นขาดที่ให้คำปรึกษาหรือที่พึ่งทางใจเมื่อมีความทุกข์ใจ ซึ่งแม้จะเป็นสาเหตุของปัญหาทางอ้อมก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญตัวหนึ่ง ยิ่งครอบครัวไหนที่มีสมาชิกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้ว ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจของเด็กให้เห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่อง sex ที่ผู้ใหญ่รู้แต่มักปิดกั้นและไม่พูดถึง จนเด็กต้องหาทางออกและลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ดังนั้นทางที่ดีควรให้ความรู้แก่พวกเขา เพื่อให้รู้เท่าทันสาเหตุและผลที่ตามมา








Sex โง่ มักเกิดจากอารมณ์พาไป

อารมณ์แรก คือ อารมณ์ทางเพศ เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ เช่น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเพศชายและฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง ฮอร์โมนเหล่านี้มีระดับที่แตกต่างกันในแต่ละคนและในแต่ละช่วงเวลา บางคนมีฮอร์โมนเพศมากเกินไป นอกจากจะมีผลต่อร่างกายแล้ว อาจส่งผลให้เกิดอารมณ์ทางเพศมากขึ้นด้วย ดังนั้น การควบคุมที่ดีก็คือ การลดการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเหล่านั้น (โดยไม่จำเป็น) นั่นคือการลดการกระตุ้นทางสายตาและการสัมผัส ซึ่งพบว่าเป็นตัวกระตุ้นที่ดีที่สุด

อารมณ์เหงา อารมณ์ทางเพศของเราบางครั้งมิได้เกิดจากความต้องการทางเพศอย่างแท้จริง หากแต่เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางอ้อม จากการที่เราไม่มีความสุขในชีวิต พบว่าวัยรุ่นหลายๆ คนเกิดจากความเหงาใจ ความทุกข์ใจและหาทางออกไม่ได้ จึงต้องพึ่งพากิจกรรมทางเพศเป็นตัวทดแทนความทุกข์ใจเหล่านั้น ต้องการทำซ้ำๆ จนกลายเป็นเพศสัมพันธ์แบบสำส่อน จนเกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามมา

ถูกสารกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ อารมณ์ทางเพศสามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้สารกระตุ้น เช่น การดื่มสุรา สามารถกระตุ้นอารมณ์เพศรวมถึงการทำให้ยับยั้งชั่งใจที่ลดลง ทำให้เผลอตัวเผลอใจไปกับการกระตุ้นทางเพศได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารเสพติดอีกมากมายที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ หรือทำให้เกิดการขาดความยับยั้งชั่งใจหรือควบคุมตนเองได้

ขาดทางออกที่ดีเมื่อมีอารมณ์ทางเพศ อารมณ์ทางเพศสามารถทำให้ลดลงได้ โดยไม่ต้องกินยาหรือฉีดยาไปต้านฮอร์โมน แต่สามารถใช้วิธีการง่ายๆ คือ การเบี่ยงเบนความคิด ความรู้สึกในเรื่องของอารมณ์ทางเพศต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะส่งผลทางด้านสุขภาพกายแล้วยังส่งผลให้สุขภาพจิตดีขึ้นด้วย นอกจากนี้การทำกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างสรรค์ ใช้ความคิด จะทำให้สมองเราเกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น นอกจากจะช่วยให้เราเป็นคนฉลาดขึ้นแล้ว ยังส่งผลทางด้านอารมณ์ให้ผ่อนคลายและมีสารแห่งความสุขหลั่งออกมา ก็ไม่ต้องหาสิ่งทดแทน เพราะมิได้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขที่ยั่งยืนถาวร

"เพราะฉะนั้น ไม่อยากตกหลุมพราง อย่าเปิดทางให้สื่อกระตุ้นเร้า" คำแนะนำที่สำคัญก็คือ พยายามอย่าเปิดโอกาสที่อยู่กันสองต่อสองหรือใกล้ชิดกันมากเกินไป ควรมีระยะห่างที่เหมาะสม และไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าเรารังเกียจเขา

อย่างไรก็ตาม การพยายามทำความเข้าใจกับอารมณ์ของตัวเอง หรือการพยายามฝึกฝนควบคุมพฤติกรรมอันจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเพศนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าตัวของวัยรุ่นคนนั้นขาดความตระหนักและความเข้าใจถึงผลเสียที่จะเกิดตามมา